ตัดจบ “หลงจู๊สมชาย” ถึงเวลาเปลี่ยน “เจ้ามือใหม่”

เผยแพร่:
  ปรับปรุง:
  



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ – ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า “หลงจู๊สมชาย” หรือ “นายสมชาย จุติกิติ์เดชา” เจ้าพ่อบ่อนการพนันในภาคตะวันออก ใช้ช่องทางธรรมชาติหลบหนีออกจากประเทศไทยไปโผล่ที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ศูนย์กลางเว็บพนันออนไลน์ แต่เอาเข้าจริงปรากฏว่า “หลงจู๊สมชาย” ยังคงกบดานอยู่ที่คฤหาสน์ในเมืองระยอง

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 2 บุกรวบตาม “หมายค้นและหมายจับ” ของศาลจังหวัดระยอง ลงที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ในข้อหา “ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนัน พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต”

เป็น “หมายค้นและหมายจับ” ที่เพิ่งออกมาสดๆ ร้อนๆ ก่อนที่จะจะบุกจับกุมหลงจู๊คนดังในอีก 1 วันถัดมาคือวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564

นั่นทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มี “บิ๊กปั๊ด-พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวเรือใหญ่ ถึงใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานนานขนาดนี้ ด้วยกรณี “บ่อนหลงจู๊สมชาย” ซึ่งเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดเชื้อโควิดคลัสเตอร์ภาคตะวันออกเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2563

ขณะเดียวกันการปล่อยข่าวว่า “หลงจู๊สมชาย” หนีคดีออกนอกประเทศมีตื้นลึกหนาบางอะไรหรือไม่ เพราะดูทรงแล้ว มีความผิดปกติหลายประการทีเดียว

ก่อนจะปฏิบัติรวบ “หลงจู๊สมชาย” คาบ้านพักที่ระยอง ไม่มีใคร่เชื่อว่า ตำรวจจะจับเจ้าพ่อบ่อนผู้นี้ได้ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า เขามี “คอนเนกชัน” ในระดับไม่ธรรมดา ทั้ง “นักการเมือง” และ “นายตำรวจใหญ่” สู้ปล่อยให้เขาหลบหนีออกนอกประเทศไปเสียดีกว่า จะได้ “ตัดจบ” ความสัมพันธ์ที่อาจลุกลามบานปลาย

ขณะที่ “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดกรณีสถานที่เล่นการพนันเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อโควิด-19” ซึ่ง “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตั้งขึ้นก็แลดูเงียบๆ ไม่มีวี่แววว่า ผลสอบจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่

กระทั่งมี “สัญญาณบางประการ” แสดงให้เห็นว่า “เครือข่ายหลงจู๊สมชาย” น่าจะ “ลอยนวล” ต่อไปไม่ได้ เพราะถ้ายังปล่อยให้ลอยนวลต่อไป จะกระทบกับภาพลักษณ์ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

สัญญาณแรกคือ การที่ตำรวจเปิดปฏิบัติการ “ชัตดาวน์กาแล็กซี่” จับ “เสี่ยโป้” หรือ นายเสี่ยโป้ โป้อานนท์ นักพนันออนไลน์ชื่อดังที่เมื่อวันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และมีความเชื่อมโยงได้ว่า “เสี่ยโป้” นั้น มีสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับ “หลงจู๊สมชาย” โดยศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ด้วยเห็นว่า “มีการกระทำเป็นขบวนการ ขัดต่อศีลธรรมอันดีงาม เศรษฐกิจชาติเสียหาย”

ไม่เพียงแต่ตัว “เสี่ยโป้” เท่านั้น ตำรวจยังออกหมายจับ “นางบานเย็น ชาญนรา แม่ของเสี่ยโป้” อีกด้วย

ถัดมาอีกไม่กี่วัน “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดกรณีสถานที่เล่นการพนันเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อโควิด-19” ที่มี  “นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ”  เป็นประธาน ก็สรุปผลสอบในกรณีดังกล่าวออกมา โดยระบุว่า บ่อนการพนันในพื้นที่ จ.ระยอง 2 แห่ง ซึ่งเป็นบ่อนขนาดใหญ่และมีเจ้าของคนเดียวกัน(บ่อนหลงจู๊สมชาย) มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องมากกว่า 10 ราย ทั้งตำรวจ และฝ่ายปกครอง ซึ่งมีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน มีวงเงินหมุนเวียนในบ่อนดังกล่าวมากกว่า 100 ล้านบาท

“ขณะนี้ตัวเลขสถิติของบ่อนการพนันยังอยู่ที่ 200 แห่ง โดยพื้นที่ กทม. ประชาชนได้แจ้งเบาะแสในพื้นที่รับผิดชอบของนครบาลมีบ่อนการพนันขนาดใหญ่ถึง 47 แห่ง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้มาในช่วงระยะตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2564 จนถึงปัจจุบัน โดยทั้งหมดจะเป็นข้อมูลลับที่คณะกรรมการจะส่งตรงไปยังนายกฯ และทุก 30 วันหลังคณะทำงานลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และรายงานผลมายังคณะกรรมการชุดใหญ่ นอกจากนี้ ในส่วนการตรวจสอบเรื่องการส่งส่วย ยืนยันว่าคณะกรรมการฯยังไม่หยุดจะต้องบี้ไปให้ถึงตัวการใหญ่ว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง” นายชาญเชาวน์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

แถมยังมีรายงานในทางลับด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวข้องเป็นชุดที่อำนวยความสะดวกในการขนย้ายตู้ม้าจากระยองซุกซ่อนในภาคอีสาน ซึ่งเจ้าของบ่อน จ.ระยอง มีความเชื่อมโยงกับบ่อน จ.ขอนแก่น



และเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ก่อนบุกจับตัว “หลงจู๊สมชาย” เพียงวันเดียว “บิ๊กปั๊ด” ก็ให้สัมภาษณ์แบบทะแม่งๆ ทะแม่งทั้งกับ “เสี่ยโป้” และทะแม่งกับ “รองต่อ-นายสันธนะ ประยูรรัตน์” ที่เป็นผู้ยื่นเรื่องประกัน “เสี่ยโป้” หลังถูก “รองต่อ” ออกมาโดยระเบิดใส่ด้วยการโชว์ภาพถ่าย “บิ๊กปั๊ด” พร้อมชี้เป้าไปที่บุคคลที่ยืนอยู่ข้างหลังซึ่งมีชื่อว่า “พ่อบ้านโญ” แถมบอกด้วยว่า “การจับนายเสี่ยโป้ บอกคนนี้คนเดียว ก็จับได้แล้ว”

สืบไปสืบมา “พ่อบ้านโญ” ที่ “รองต่อ” เปิดตัวออกมาก็คือ “พ.ต.อ.ภิญโญ ป้อมสถิตย์ ผู้กำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี กองบัญชาการตำรวจนครบาล”

“บิ๊กปั๊ด” ตอบคำถามและชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ความคืบหน้าการสืบสวนขยายผลคดีนายเสี่ยโป้ โป้อานนท์ ว่า ที่ผ่านมาผู้ต้องหาที่มีเงินจำนวนมากจะเรียนรู้ว่าอะไรที่เป็นพยานหลักฐานให้เขาติดคุก เขาจะไม่ทำ เช่น หลักฐานเส้นทางการเงิน ตำรวจไม่ได้หาเจอง่ายๆ ผู้ต้องหาจะกลัวที่สุดเรื่องการฟอกเงิน เราต้องหาเส้นทางการเงินให้ได้ แม้ว่ามันจะยาก ก็ต้องทำ เพราะฉะนั้นแต่ละคดีที่ทำต้องใช้เวลา และร่วมกันทำหลายหน่วย แต่ตำรวจไม่สามารถมานั่งพูดให้ใครฟังได้ว่าทำอะไรอยู่ ซึ่งเมื่อจับกุมแล้วต้องเอาให้ลง แต่ก็จะเห็นว่ามีความพยายามจะสร้างกระแส ว่าทำไมไม่จับคนนั้นคนนี้ ซึ่งเป็นการทำลายน้ำหนักของเจ้าหน้าที่ เพราะผมบอกแล้วว่าเป็นองค์กรอาชญากรรม ถ้าเราไม่ทำ เอาเขาไม่ลง ต่อไปตำรวจจะมีใครกล้าจับเรื่องแบบนี้ มันมีแต่เรื่อง ไม่ได้อะไร ซึ่ง ศปอส.ตร. จับมาตลอด ไม่ใช่เพิ่งมาทำ และทุกคดีไม่มีที่ผู้ต้องหาจะไม่สู้คดี”

พร้อมทั้งเอ่ยถึง “นายสันธนะ”ว่า “มีปัญหาเป็นคู่รักกันมานาน เวลาพี่เขาออกมาพูดอะไรก็เหมือนเป็นแฟนคลับคนหนึ่ง ถ้าเรามองในมุมหนึ่งว่า อย่างน้อยก็มีคนคิดถึงเราตลอดเวลา” พร้อมยืนยันว่าในชีวิตไม่เคยรู้จัก “หลงจู๊” ไม่เคยคุยกัน แค่เคยได้ยินชื่อ มีข่าวสารว่าเขาทำอะไร แต่ข่าวอย่างเดียวมันดำเนินคดีได้หรือไม่ ก็ต้องมีพยานหลักฐานว่าไปตามกฎหมาย หากเราไม่ยึดกฎหมาย ใครจะยึด ขอให้ดูกันไป ใครหนีได้ก็หนี”

และในที่สุดเหตุการณ์ก็นำไปสู่การจับ “หลงจู๊สมชาย” เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดย “บิ๊กปั๊ด” แถลงด้วยตัวเองว่า จากการตรวจค้น 10 จุด ตำรวจพบหลักฐานทั้งตู้ม้า ตู้สล็อตแมชชีน อุปกรณ์ เล่นการพนัน ตู้เซฟ ซึ่งเบื้องต้นพบเงินใบบัญชีหลายร้อยล้านบาทเท่านั้น ไม่พบทรัพย์สิน อื่นๆ คาดว่าจะมีการยักย้ายถ่ายเท เนื่องจากผู้ต้องหารู้ตัวก่อนเข้าจับกุม และ มีการถอดกล้องวงจรปิดรอบบ้านออกทั้งหมด มีการยักย้ายไปในบัญชีเครือญาติ กว่า 10 คน

ถ้อยแถลงของ “บิ๊กปั๊ด” น่าสนใจ เพราะยอมรับเองว่า “หลงจู๊สมชาย” รู้ตัวก่อนถูกจับทำให้มีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกไป

คงไม่ต้องสงสัยกระมังว่า “หลงจู๊สมชาย” รู้ตัวก่อนอย่างไร เพราะแน่นอนว่าย่อมมี “คนใน” เป็น “อีกาคาบข่าว” ไปบอก แล้ว “คนใน” ที่ คาบข่าวไปบอกก็ต้องรู้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นจะมีการถอดกล้องวงจรปิดรอบบ้านออกไปทั้งหมดได้อย่างไร

ส่วนจะเป็น “ตำรวจ” หรือ “นักการเมือง” ที่เป็นเครือข่ายเดียวกันหรือไม่ คงไม่ต้องใช้เวลาสืบสวนสอบสวนนาน เนื่องด้วยคณะกรรมการฯ ชุดที่มีนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ เป็นประธาน เขียนเอาไว้ชัดเจนว่า “เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องมากกว่า 10 ราย ทั้งตำรวจ และฝ่ายปกครอง”



ว่าก็ว่าเถอะ ข้อหาที่ “หลงจู๊” เจอถือว่า “จิ๊บๆ ” เพราะ มีโทษจำคุกตั้งเเต่ 3 เดือน ไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 500 ถึง 5000 หรือทั้งจำทั้งปรับ สมมติว่า ต้องคดีและติดคุกติดระรางจริงๆ ตดยังไม่ทันหายเหม็น หลงจู๊ก็ออกมาเริงร่าได้แล้ว

ขณะที่ตัวเจ้าพ่อบ่อนการพนันภาคตะวันออกปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่แสดงอาการใดๆ พร้อมบอกอีกต่างหากว่า “ถูกกลั่นแกล้ง”

อย่างไรก็ดี ปฏิบัติการรวบหลงจู๊สมชายในครั้ง นำมาซึ่งคำถามจากสังคมว่า เป็นการ “ตัดตอน” หรือ “ตัดจบ” คดีหรือไม่ อย่างไร เพราะว่ากันตามจริง “หลงจู๊สมชาย” ก็คือ “ฉากหน้าของขบวนการบ่อนพนัน” เท่านั้น หากแต่ยังมี “ฉากหลัง” ซึ่งมี “คน” เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก

เป็นที่รับรู้กันว่า “หลงจู๊สมชาย” นั้นไม่ธรรมดา กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ เขาค่อยๆ เติบใหญ่มาเป็นลำดับ จากคนเดินโพยหวยมาเป็นเจ้ามือหวย เจ้าของสถานบริการในเมืองระยอง ทั้งนวดแผนโบราณ คาราโอเกะ ซึ่งต่อมามีคดีดังที่เข้าไปพัวพันกับ “แก๊งหวยล็อก” กับ “กลม บางกรวย-ชัย โคกสำโรง” และตัวเขาเอง โดยมีฉายา ณ ขณะนั้นว่า “ชาย ระยอง” หรือ “ชาย บ้านค่าย”

ช่วงแรกแก๊งหวยล็อกจะเดินสายกระจายแทงเจ้ามือใหญ่ในหัวเมืองต่างๆ และไปสะดุดตอที่เจ้าพ่ออีสาน โดย “เป๊กตั๊ก” เจ้าพ่อหวยเมืองสุรินทร์ เห็นว่าถูกลูกค้านิรนามกินติดต่อกันหลายงวด และสงสัยกลุ่ม “ชาย ระยอง” หรือ “หลงจู๊สมชาย” ในปัจจุบัน จะเป็นตัวการ จึงเข้าแจ้งต่อกองปราบปราม และเป็นที่มาของการเปิดโปงขบวนการ “หวยล็อก” ต่อมามีการดำเนินคดี…แต่เขาก็รอดมาได้

หลังข่าวคราวหวยล็อกเงียบไป ชื่อเสียงของ “หลงจู๊สมชาย” กลับโด่งดังในยุทธจักรบ่อนพนัน และกิจการตู้ม้า ตู้สลอต ทั้งนี้ วงการบู๊ลิ้มว่ากันว่าเขาได้รับการสนับสนุนจาก “นักการเมืองคนดัง” ของจังหวัดนครราชสีมา และนายตำรวจระดับ พล.ต.ต.คนหนึ่งแถวภาคอีสาน ให้สัมปทานบ่อน ตู้ม้า ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภาค 3 ทั้ง จ.นครราชสีมา จ.อุบลราชธานี และอื่นๆ อีกหลายแห่ง

ต่อมาด้วยความที่มีแรงหนุนจาก “นักการเมืองคนดังภาคอีสาน” ที่ทำงานติดตัวเบอร์ต้นๆ ของขั้วอำนาจในรัฐบาล “หลงจู๊สมชาย” จึงบ่ายหน้าเข้าสู่วงการบู๊ลิ้มเมืองหลวง ซึ่งระยะแรกสร้างความปั่นป่วนไม่น้อย แต่ในที่สุดไปไม่รอด ต้องกลับไปดูแลฐานเดิมคือภาคตะวันออกในหลายพื้นที่ของภาค 2 ภาค 3 จนช่วงหนึ่งถูกระดมปราบปรามจากชุดเฉพาะกิจกรมการปกครองอย่างหนักหน่วง จากปฏิบัติการทะลายบ่อน RJ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งทราบกันดีว่าบ่อนแห่งนี้เป็นของ “หลงจู๊สมชาย”

คนที่รู้จัก “หลงจู๊” จะรู้ว่า เขาเป็นหนุ่มใหญ่ใจนักเลง ร่ำรวยระดับพันล้าน เป็นผู้มีอิทธิพล เบอร์ 1 ของจังหวัดระยอง เป็นที่รู้จักในแวดวงสีกากี ตั้งแต่ระดับจังหวัดระยองไปจนถึงระดับประเทศ และมีเรื่องเล่าว่า ขนาดอดีต ผบช.คนหนึ่ง ที่เคยถูกคุมขังในเรือนจำยังต้องมาร่วมงานวันเกิด

ว่ากันว่า อิทธิพลบารมีหลงจู๊ มีมากถึงจะแผ่ขยายบ่อนมาพัทยา ชลบุรี ครั้งหนึ่งถึงกับลงทุนจ้างม็อบจากบางปะกงมากดดัน “ผบก.ชลบุรี” เพื่อให้ไฟเขียวเปิดตั๋วบ่อนในเมืองพัทยา และเตรียมการที่จะมาตั้ง ตู้ม้า ตู้สลอต ในเมืองพัทยาชลบุรี อีกด้วย

ที่น่าสนใจก็คือ “หลงจู๊ชาย” ที่ปัจจุบันยึดฐานใหญ่เมืองระยองและฉะเชิงเทรา เคยแวะเวียนมาทำบ่อนในเมืองหลวง และเป็น “กระเป๋า” ให้ “เสี่ยจอมปลอม” ชื่อย่อ “ป” ที่สวมบท “เศรษฐีนักบุญ” ตระเวนแจกเงินตามชุมชน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วเขาคือเครือข่ายการพนันที่ชอบ“โชว์ไลฟ์” ผ่านโลกออนไลน์ และทำให้ “ผีพนัน” ติดกันงอมแงมทั่วประเทศ

ว่ากันว่า “หลงจู๊สมชาย” ขยายอาณาจักรบ่อนครอบคลุมภาคตะวันออกเลยไปถึงอีสานได้นั้น เกิดขึ้นในช่วงที่มี “บิ๊กตำรวจ” คนดังมานั่งเป็นใหญ่ในภูธร ภาค 2 และนายตำรวจที่ว่านี้ ก็เป็นคนคุ้นเคยกันดีของผู้มีอำนาจในรัฐบาล

และหากต่อจิ๊กซอว์ต่อไปกับกรณีที่พบหนุ่มชาว จ.ระยองวัย 26 ปี ที่ต้องสงสัยติดโควิด เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมาธิการพนันออนไลน์ (คณะอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบกาสิโนออนไลน์ที่มาจากต่างประเทศ)จนหวาดผวากันทั่งรัฐสภา ก็ยิ่งเห็นบารมีอันไม่ธรรมดาของ “หลงจู๊สมชาย”

หนุ่มชาวระยองผู้นี้คือหนึ่งในคณะทำงานของ “พ่อมดดำ” สุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 นักการเมืองชื่อดังเมืองแปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา และเมื่อสืบไปสืบมา หนุ่มชาวระยองคนนี้ที่แท้ก็คือลูกชาย “หลงจู๊สมชาย”

เรียกว่ามีคอนเนกชันกับนายตำรวจ อดีตนายตำรวจ และนักการเมืองอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะนักการเมืองในรัฐบาลนี้

สมมติว่า ถึงที่สุดแล้ว “หลงจู๊สมชาย” ต้องติดคุกติดตะรางตามคำพิพากษาของศาล ก็มิได้หมายความว่า บ่อนการพนันในประเทศไทยจะหมดไป เพราะเชื่อว่าอีกไม่นานนักก็จะมี “เจ้ามือใหม่” เข้ามารับเซ้งกิจการที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาลด้วยความเต็มใจ

เอาแค่ตัวเลขที่ตำรวจแถลงวันนี้ก็ต้องร้องอู้หูกันแล้ว เพราะพบเงินหมุนเวียนในบัญชีของ “หลงจู๊สมชาย” นับเป็น 100 ล้านบาทเลยทีเดียว แล้วที่ยังตรวจไม่เจอและซุกซ่อนอยู่ในรูปแบบอื่นๆ ก็น่าจะอักโขไม่น้อย

ที่สำคัญคือบรรดา “ผู้มีอำนาจ” เหนือ “หลงจู๊สมชาย” ก็ยังคงยืนทะมึนอยู่เหมือนเดิม

ไม่เชื่อลองไปถาม “เสธ.คนนั้น” หรือไม่ก็นายตำรวจเก่าผู้กว้างขวางในภาคตะวันออกและสนิทชิดเชื้อกับคนในทำเนียบฯ อย่าง “พี่หลาม” ดูก็ได้

ทีนี้ ก็คงต้องมาลิสต์รายชื่อ “เจ้ามือใหม่” ที่มีโอกาสเข้ามาแทนที่ “หลงจู๊สมชาย” ว่า มีใครบ้าง

เมื่อย้อนกลับไปเมื่อครั้งเกิดเรื่องใหม่ๆ แล้วบรรดานายตำรวจใหญ่ที่ถูกย้ายไปด้วยเรื่องบ่อนก็ยังคงไปตีกอล์ฟกันที่ชลบุรีอย่างสบายใจเฉิบ มิได้รู้ร้อนรู้หนาวก็พอจะมองเห็นร่องรอย ด้วยความน่าสนใจของกวนกอล์ฟก๊วนนี้ ไม่ได้มีแค่อดีตสองผู้บัญชาการตำรวจภูธรสองคน กับอีกหนึ่งอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเท่านั้น หากยังมี “ตัวละคร” ที่อาจเป็น “เจ้ามือใหม่” รวมอยู่ด้วย

เริ่มจากเจ้าของ “สนามกอล์ฟ” ที่ก๊วนนายตำรวจไปตีมิใช่ของใครอื่น หากแต่เป็น“เสี่ยตี๋เล็ก” เจ้าของอาณาจักรกลางคืนที่ครอบครองพื้นที่มานานปี ถือเป็นเจ้าพ่อเบอร์1 แห่งยุคนี้เช่นกัน เพียงแต่ระยะหลัง เสี่ยตี๋เล็กวางมือจากธุรกิจกลางคืน หันไปทุ่มลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซื้อขายที่ดิน สร้างบ้าน ทำคอนโดมิเนียม ซื้อแม้กระทั่งสนามกอล์ฟ

เสี่ยตี๋เล็กก็ถือว่าเป็นคนที่แวดวงตำรวจรู้จักกันดี และน่าจะเป็น “ตัวเลือกที่ 1” ที่จะเข้ามาสานต่อจาก “หลงจู๊สมชาย”

นอกจากนั้นยังมีขาใหญ่ระดับดาวรุ่งพุ่งแรงที่เดินตามรอย “เสี่ยตี๋เล็ก” อย่าง “เอ้ พัทยา” อีกหนึ่งคน ด้วยมีความสนิทแนบแน่นกับบิ๊กตำรวจในระดับนับญาติกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะ “บิ๊กสุ” คนโตในยุทธจักรสีกากี เรียกว่า เป็นที่ไว้วางใจ ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ

แสดงว่า คนสีกากีกับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นเมืองชลบุรีนั้นแนบแน่นกันอย่างยิ่ง

เอาเป็นว่า…จับตาดีๆ ว่า “ปลายทาง” ของ “คดีหลงจู๊สมชาย” จะลงเอยอย่างไร จะสาวต่อหรือตัดจบเพียงแค่ตัวละครตัวนี้

เฉกเช่นเดียวกับแวดวงบ่อนการพนันที่เชื่อเหลือเกินว่า จะมี “เจ้ามือใหม่” จาก “เครือข่ายเก่า” มาสานต่อขุมทรัพย์ก้อนมหึมาก้อนนี้ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างแน่นอน.