ประเทศไทยเข้าสู่สถานการณ์ที่ควบคุมการแพร่ระบาดของโคขวิดได้มาระยะหนึ่งแล้ว ความจริงสมควรที่จะรีบนำพาประเทศกลับสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด ความคิดใดๆ ที่จะรอจนไวรัสหมดไปจากโลกแล้วจึงค่อยยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นมีแต่จะสร้างความพินาศวายวอดให้แก่บ้านเมือง
เพียงระยะเวลาปีเศษก็เห็นผลชัดเจนอยู่แล้วว่าประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติที่หนักหนาสาหัสและได้รับความเสียหายยิ่งกว่าชาติใดๆ เพราะไม่มีใครในโลกที่จะใช้สถานการณ์ฉุกเฉินรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสเป็นเวลาช้านานนับปีเหมือนกับประเทศไทยของเราเลย
เพราะเมื่อประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินแล้วบ้านเมืองก็จะเข้าสู่ภาวะไม่ปกติในทันที ภาวะวิกฤติก็จะเกิดขึ้นโดยผลของการใช้สถานการณ์ฉุกเฉินก็จะตามมา อย่างน้อยที่สุดการรวบอำนาจของทุกกระทรวง ทบวง กรม และของทุกรัฐมนตรีทุกคนมาไว้ที่นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวก็เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าจะเป็นต้นเหตุของปัญหาและอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะคือประสิทธิภาพต่างๆ ก็จะหมดสิ้นไป
ประเทศไทยที่อาศัยหมอคณะหนึ่งเป็นแกนหลักในการรับมือกับโคขวิดโดยอิงอยู่กับอำนาจสถานการณ์ฉุกเฉินก็ปรากฏผลประจักษ์แล้วว่าต้องสูญเสียเงินงบประมาณมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติและมากยิ่งกว่าประเทศใดๆ ในอาเซียน เศรษฐกิจของประเทศย่อยยับลงยิ่งกว่าประเทศใดๆ ในอาเซียน ภาคธุรกิจปิดกิจการ ผู้คนตกงานและล้มละลายกันกลาดเกลื่อนทั้งแผ่นดิน
สภาพบ้านร้างเมืองร้างเกิดขึ้นโดยทั่วไป จนกระทั่งประเทศไทยไม่อาจทนรับสภาพเช่นนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยไม่มีวันที่จะรอชัยชนะในการรับมือกับไวรัสจนหมดสิ้นไปจากโลกโดยแลกมาซึ่งสภาพบ้านร้างเมืองร้างและประชาชนยากไร้อนาถาได้อีกแล้ว
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งหลายจะต้องรีบคิดอ่านดำเนินการทั้งปวงเพื่อนำพาประเทศกลับเข้าสู่ความเป็นปกติโดยเร็วที่สุด เพราะขณะนี้การแพร่ระบาดก็ลดลงจนเหลือวันละไม่ถึงร้อยคน คนป่วยที่อยู่ระหว่างรักษาทั้งหมดก็มีแค่ระดับ 1,000 คน ไยจะต้องให้ประเทศชาติและประชาชน 77 ล้านคน ต้องพินาศวายวอดต่อไปอีก
จะต้องรีบเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน คืนอำนาจบริหารให้แก่รัฐมนตรีทุกกระทรวง ทำให้บ้านเมืองกลับสู่ปกติโดยเร็วที่สุด
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวคราวอันหนึ่งซึ่งควรจะได้ดำเนินการเสียนานแล้ว นั่นก็คือการเปิดรับชาวเกาหลีใต้จำนวนร่วม 50 คน ให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เข้าไปพักกักตรวจอยู่ที่สนามกอล์ฟในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งหมายความว่าชาวเกาหลีเหล่านี้เมื่อเข้ามาประเทศไทยแล้วก็ต้องไปอยู่ในสนามกอล์ฟที่กำหนดไว้และกักตรวจเฝ้าดูอาการตามกำหนด จากนั้นถ้าไม่มีการป่วยเจ็บก็สามารถไปไหนต่อไหนได้ตามสบาย
ตามข่าวระบุด้วยว่าชาวเกาหลีใต้แต่ละคนเมื่อเข้ามาพำนักในประเทศไทยดังกล่าวแล้วมีภาระค่าใช้จ่าย ทั้งค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าบริการที่แต่ละคนจะต้องจ่ายวันละ 5,500 บาท ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อย และเงินจำนวน 5,500 บาทต่อวันต่อคนนี้ย่อมตกได้แก่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าเจ้าของสนามกอล์ฟ ร้านอาหาร พนักงานบริการ และผู้ค้าขายของต่างๆ
แต่ละคนจะมีค่าใช้จ่ายถึงเดือนละ 165,000 บาท ซึ่งถ้าหากมีจำนวน 10,000 คน ก็จะมีวงเงินที่ใช้จ่ายถึง 1,650,000,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงเป็นรายได้ของประชากรในพื้นที่นั้นๆได้ และจะเกิดการหมุนเวียนของการค้าขายและกระแสเงินอันจะทำให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่กลับคืนปกติได้โดยเร็ว
ค่าใช้จ่ายคนละ 5,500 บาทต่อวันนั้นเป็นเพียงค่าใช้จ่ายสำหรับกรณีที่ถูกกักตรวจอยู่ในพื้นที่เดียว ถ้าหากพ้นระยะการกักตรวจแล้วสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ สามารถจับจ่ายใช้สอยเงินได้เต็มที่ ค่าใช้จ่ายของชาวต่างชาติแต่ละคนอาจจะเพิ่มเป็นวันละ 10,000 บาท ซึ่งจะเป็นรายได้จำนวนมหาศาลสำหรับราษฎรในพื้นที่นั้น
ก็ในเมื่อจังหวัดภูเก็ตเฉพาะสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งยังดำเนินการได้เช่นนี้ ถ้าขยายการรับชาวต่างชาติ ให้พักกักตรวจได้ทั่วทั้งจังหวัดภูเก็ตก็จะรองรับชาวต่างชาติได้ถึง 20,000 คน ก็จะบังเกิดรายได้จำนวนมหาศาลแก่จังหวัดภูเก็ต นี่คือภูเก็ตโมเดลที่ควรต้องรีบดำเนินการให้เป็นมรรคเป็นผลโดยเร็วที่สุดที่ทุกภาคส่วนจะต้องบูรณาการขับเคลื่อนให้เป็นไป
สมควรที่จะตั้งเป้าหมายเปิดรับชาวต่างชาติเข้ามาพักตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศตามรูปแบบภูเก็ตโมเดล โดยตั้งเป้าหมายจังหวัดละ 10,000 คน และเร่งรัดดำเนินการให้สามารถรับชาวต่างชาติเข้ามายังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศทุกจังหวัดให้ได้ภายใน 6 เดือน ก็เป็นที่คาดหมายได้ว่าในปี 2564 นี้ประเทศไทยก็จะฟื้นคืนเป็นปกติ
ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ ไม่สามารถคิดได้ตราบใดที่ยังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ดังนั้นประเทศไทยจะฟื้นตัวเร็วช้าประการใดก็อยู่ที่สติปัญญาและจิตใจที่กล้าหาญที่จะทำการเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองได้เพียงใดหรือไม่
เผยแพร่: 31 พ.ค. 256…
This website uses cookies.