คอแดง ยึดเรียบ ทัพไทย- ทบ. คอเขียวหงอย “บิ๊กอ๊อบ” จ่อ ผบ.สูงสุด “บิ๊กบี้” จับมือ ตท.28  คุมทบ.

แม้ “บิ๊กแก้ว” พล.อ. เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด  จะลดกระแสต้านทหารคอแดง ในบก.ทัพไทย ด้วยการไม่ขยับ “บิ๊กบุ๋ม” พล.อ.สุวิทย์ เกตุศรี  ทหารม้าน้องรัก ลงตำแหน่ง รองผบ.ทหารสูงสุด หรือ เสนาธิการทหาร เพื่อชิงเก้าอี้ ผบ.ทหารสูงสุด ในโยกย้ายปลายปีหน้า 2566   แต่ยังคง เป็น ผอ.ศปร. ต่อไปอีกปี และดึง “บิ๊กจ่อย” พล.อ.ธิติชัย เทียนทอง รองเสธ.ทหาร ขึ้น เสนาธิการทหาร เพื่อลดแรงกระเพื่อม  จากการต่อต้านทหารคอแดง 

แต่การมาเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดของ “บิ๊กอ๊อบ” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา ข้าม จากกองทัพบก มาอยู่ บก.ทัพไทย ในโควตาของกองทัพบก ตามธรรมเนียมนี้ กำลังถูกมองว่า เป็นการเตรียมมาจ่อเพื่อขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในโยกย้ายปลายปีหน้าแทน พล.อ.เฉลิมพล ที่จะเกษียณราชการ

เพื่อสานต่อการมี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นทหารคอแดง คนที่ 2 หลังจากที่มีพล.อ.เฉลิมพล ทหารคอแดงข้ามจากกองทัพบกมาเป็น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคอแดงคนแรก ของกองทัพไทย เมื่อ 2 ปีที่แล้ว

การจัดโผแบบนี้  เพื่อต้องการแสดงออกว่าให้ความสำคัญให้โอกาสทั้งทหารคอแดง และทหารคอเขียว เท่าๆกัน และต้องการให้ พล.อ.ทรงวิทย์ ทหารคอแดง และ พล.อ.ธิติชัย ทหารคอเขียว ทำงานแข่งกันในห้วง 1 ปีนับจากนี้ก็ตาม

แต่ในกองทัพ ก็เชื่อกันว่าพล.อ.ทรงวิทย์จะขึ้นเป็น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคอแดงคนที่ 2 อย่างแน่นอน

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่พล.อ.เฉลิมพล ไม่จำเป็นต้องดัน พล.อ.สุวิทย์ น้องรักขึ้นมาแข่งขันด้วย  อีกทั้ง เก้าอี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็มีโควตาที่จะต้องให้ “บิ๊กแอ๊ด” พล.อ.ศิราวุฒิ วงศ์ขันตี ผบ.สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (สปท.) ต้องขึ้นมานั่ง ตามอาวุโส

พล.อ.เฉลิมพล รู้ถึงแรงกระเพื่อมในกองบัญชาการกองทัพไทย เป็นอย่างดี เพราะเมื่อครั้งที่ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. และ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904  (ผบ.ฉก.ทม.รอ.904) ในขณะนั้น ส่งข้ามจากกองทัพบก มาเป็นเสนาธิการทหาร เพื่อรอเสียบขึ้นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคอแดง คนแรก ก็ทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ แก่นายทหารคอเขียว ซึ่งเป็นนายทหารทั่วไปที่เติบโตมาตามสเต็ป แต่ไม่อาจขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้

ในเวลานั้น “บิ๊กกบ” พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จำเป็นต้องจัดหาตำแหน่งที่เหมาะสม ให้กับบรรดาดาวรุ่ง ของกองทัพ ไทยและแคนดิเดต ที่จะขึ้นผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ต้องเสียโอกาสไป จากการที่พล.อ.เฉลิมพล ข้ามมาเสียบยอด

จนต้องส่ง “บิ๊กไก่” พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม จากเสนาธิการทหาร ข้ามมา อยู่ทำเนียบรัฐบาล เป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ขณะที่ “บิ๊กโจ้” พล.อ.ณตฐพล  บุญงาม ที่เดิมถูกวางตัวไว้จะเป็นเลขา สมช. ก็ให้ขึ้นเป็น เสนาธิการทหารแทน

แม้พล.อ.เฉลิมพล จะพยายามลดแรงกระเพื่อม และให้โอกาสทหารคอเขียวในการเติบโตในตำแหน่งสำคัญมากขึ้นก็ตาม แต่ดูเหมือนทุกอย่างได้ ถูกกำหนดไว้แล้วว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดจะต้องเป็นทหารคอแดง

จึงไม่แปลกที่ในกองทัพไทยเริ่มมีกระแสต้านพล.อ.ทรงวิทย์ ด้วยการโจมตีว่านอกจากไม่จบ รร.นายร้อยจปร. แล้ว ยังไม่ได้เรียน รร. เตรียมทหาร  ด้วย  เพราะตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะต้องเป็นประธานมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร ด้วย

ทั้งนี้เพราะรู้กันดีว่า พล.อ.ทรงวิทย์ จบจาก นายร้อย VMI  สหรัฐอเมริกา จึงทำให้ไม่สามารถขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก ได้และต้องข้ามมา เติบโตที่กองบัญชาการกองทัพไทยและ จะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแทนเช่น นายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคนในอดีต ที่จบนอกและต้องมาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด

แต่ในความเป็นจริงแล้ว พล.อ.ทรงวิทย์ถือว่าเป็นเตรียมทหารรุ่น 24 แม้จะเข้าเรียน ได้ไม่กี่วันก่อนที่จะเดินทางไปเรียนต่อ ที่สหรัฐอเมริกา เพราะก็มีเลขประจำตัวของนักเรียนเตรียมทหาร และถือเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 24  เช่นเดียวกับพล.อ.ธิติชัย

ดังนั้นจึงส่อเค้าว่า มีสัญญาณนานแล้ว  ทบ. จึงส่งพล.อ.ทรงวิทย์ มากองทัพไทยเพื่อที่จะขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคอแดงคนที่ 2 ในปลายปี และต้องไม่ลืมว่าพล.อ. ณรงค์พันธ์ นั้น ก็เป็นกลุ่มอำนาจเดียวกับ พล.อ.ทรงวิทย์ เช่นเดียวกับตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ได้กลายเป็นที่รับรู้และอาจเรียกได้ว่าเป็นธรรมเนียม ในห้วง 4 ปีที่ผ่านมาว่า นับจากนี้ว่า จะต้องเป็นทหารคอแดง เท่านั้น เป็นนายทหาร ที่ผ่านการฝึกหลักสูตรทหารรักษาพระองค์ 3 เดือนของ ทม.รอ.

โดยนายทหารที่ถูกคัดเลือกไปฝึกหลักสูตรนี้ และได้กลายเป็นทหารคอแดงก็ล้วนเป็นระดับหัวกะทิ ของกองทัพบก ทั้งสิ้น

แม้ว่าจะมีความพยายามในการลดแรงต้าน และแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นจากปัญหาทหารคอแดงและทหารคอเขียวในกองทัพไทย และกองทัพบก ด้วยการชะลอการเพิ่มจำนวนทหารคอแดง เช่นการงดการฝึกหลักสูตร ทหารคอแดง มาหลายปีประกอบกับเป็นช่วงสถานการณ์โควิด แต่ก็ยังมีการเลือกให้นายทหารเป็นรายบุคคล ไปฝึกหลักสูตรทหารคอแดง เพื่อที่จะมาลงตำแหน่งสำคัญ

เช่นกรณีของ “บิ๊กปู” พล.ต.พนา แคล้วปลอดทุกข์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่ก่อนหน้านี้เมื่อ พ.ค. ที่ผ่านมา มีสัญญาณให้ไปฝึกหลักสูตรทหารรักษาพระองค์ ทม.รอ. เพื่อกลายสภาพจากทหารคอเขียวเป็นทหารคอแดง แล้วก็ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 1 ใน คำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย 10 กันยายนที่ผ่านมานั่นเอง

โดยเป็นที่รับรู้กันในกองทัพบกแล้วว่า นอกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ที่ต้องเป็นทหารคอแดงแล้ว ตำแหน่งแม่ทัพภาค 1 ก็ต้องเป็นทหารคอแดงด้วย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ พลตรีพนา ก็เป็นทหารคอเขียวมาก่อน แต่ที่สุด ก็มีสัญญาณและได้รับเลือกให้ไปฝึกหลักสูตรทหารคอแดง

ที่ก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในกองทัพภาค 1 และกองทัพบกไม่น้อย เพราะเดิมมีการคาดการณ์ว่า “บิ๊กหนุ่ย” พล.ท.ธราพงษ์ มะละคำ แม่ทัพน้อย 1 จะขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 1 คนใหม่ เพราะก็เติบโตมาตามไลน์ และจ่อเป็นแม่ทัพน้อย 1 อยู่แล้ว แถมเป็นตท.24 ที่จะ รับไม้ต่อจาก “บิ๊กโต” พล.ท.สุขสรรค์ หนองบัวล่าง  แม่ทัพภาค 1 เตรียมทหาร 23  ที่ขยับขึ้นผู้ช่วย ผบ.ทบ.

แต่ที่สุดก็เกิดปรากฏการณ์ฟ้าผ่าในเมื่อคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย ออกมา ให้พลตรีพนา  ตท.26 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 1 เลย  ส่วน พล.ท.ธราพงษ์ ก็ถูกเด้งไปเป็น พล.อ. ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ออกนอกวงโคจรแห่งอำนาจ

โดยมีการตั้งข้อสังเกตกันในกองทัพว่า เป็นแผนการจัดวางตัว แม่ทัพภาค1 และ ผบ.ทบ. ในอนาคตใหม่ และสะเทือน อำนาจ พี่น้อง 3 ป. บูรพาพยัคฆ์ไม่น้อยเพราะ พล.ท.ธราพงษ์  ก็ถือเป็นสายตรงของ 3 ป. โดยเฉพาะสายตรง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์

แต่ด้วยเพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ทหารคอแดงในส่วนของกองทัพบกใครจะลงตำแหน่งใดนั้นขึ้นอยู่กับ “บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ที่เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย ตัดสินใจ โดยมีปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหลายประการ

แต่ก็ถูกมองว่าเป็นการกระชับอำนาจของตัว พล.อ.ณรงค์พันธ์ ในการนั่งเก้าอี้ผบ.ทบ. ต่อ เป็นปีที่ 3 โดยที่ไม่มีใครมาเขย่าเก้าอี้ได้สำเร็จ หลังจากที่เคยมีกระแสข่าวว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมพยายาม จะดัน “บิ๊กต่อ” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผช.ผบ.ทบ. น้องรักทหารเสือราชินี สายตรง ขึ้นเป็นเลยก็ตาม โดยจะเห็นได้จากการจัดโผโยกย้ายของกองทัพบกครั้งนี้ เตรียมทหารรุ่น 28 ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นกลุ่มนายทหารยังเติร์ก ที่สนับสนุน พล.อ.ณรงค์พันธ์ อยู่ ขึ้นมาคุมตำแหน่งสำคัญ โดยเฉพาะในกองทัพภาค 1

“บิ๊กไก่” พล.ต.วรยส เหลืองสุวรรณ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1รอ.) แกนนำรุ่น ขึ้นเป็น รองแม่ทัพภาค 1 จ่อเป็น แม่ทัพภาค 1 และ ถูกจับตามองว่า จะเป็นแคนดิเดท ผบ.ทบ. ในอนาคต โดยมี “รองแอ้ม” พ.อ.ณัฐเดช จันทรางศุ รอง ผบ.พล.1 รอ.  ขึ้นเป็น พลตรี ผบ.พล.1 รอ.  คุมกำลังทหารคอแดง แทน

ที่สำคัญ “บิ๊กกอล์ฟ” พล.ต.สราวุธ ไชยสิทธิ์ ผบ.มทบ.11  ได้ขยับเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ  เตรียมเปลี่ยนจาก ทหารคอเขียว เป็นทหารคอแดง เป็นแกนนำรุ่นที่ถูกจับตามองว่า จะเป็น แม่ทัพภาค 1 และ ผบ.ทบ. ในอนาคตอีกคน และ “รองต๊อบ” พ.อ.วุทธยา จันทมาศ รองผบ.พล.ร.9  ขึ้นเป็นพลตรี เป็น ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 (ผบ.พล.ร.9 ) เรียกได้ว่าเตรียมทหารรุ่น 28 ยึด 3 กองพลหลักของกองทัพภาค 1ไว้เบ็ดเสร็จคุมกำลังรบและขุมกำลังปฏิวัติไว้ในมือ โดยมี “เสธ.น้ำ” พ.อ.เกียรติศักดิ์ น้ำไชยศรี รองเลขานุการทบ. ขึ้นเป็นพลตรี เลขานุการทบ. ที่จะต้องทำงานใกล้ตัว พล.อ.ณรงค์พันธ์

ในขณะที่ กองทัพเรือมี “เสธ.เบี้ยว” พล.ร.ต.ภาณุพันธุ์ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการ ประจำผู้บัญชาการทหารเรือ เป็น ผู้บัญชาการฐานทัพเรือกรุงเทพ คุมกำลังทหารเรือในกรุงเทพฯ เตรียมทหารรุ่น 28 จึงเป็นรุ่นที่กำลังมาแรงในกองทัพโดยเฉพาะกองทัพบก และถูกวางตัวที่จะขึ้นมาคุมกองทัพคงตำแหน่งสำคัญในอนาคตอันใกล้นี้โดยคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ เป็นดัชนีชี้วัดความแรง ของเตรียมทหารรุ่น 28 ได้เป็นอย่างดี

จนทำให้เตรียมทหารรุ่น 27 ที่กำลังขึ้นมาควบแข่งถูกมองข้ามและแผ่วพลังลงไป ไม่น้อย เพราะมีเพียง “บิ๊กใหญ่” พล.ต.อัมฤต บุญสุยา ผบ.พล.ร.2 รอ. เท่านั้นที่ได้ขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพภาค 1  และถือเป็นสายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะอยู่ทหารเสือราชินี ร.21 รอ. มาด้วยกัน และจะต้องชิงแม่ทัพภาค1 กับ พล.ต.วรยส  ตท.28 ในโยกย้ายตุลาคม 2566 ที่จะเป็นการวัดพลังระหว่าง  ทหารคอแดงสาย พล.อ.ณรงค์พันธ์ กับ สายตรงพล.อ.ประยุทธ์และแผงอำนาจ 3 ป เลยทีเดียว เพราะ “บิ๊กตั้ง” พล.ต.ธวัชชัย ตั้งพิทักษ์กุล เตรียมทหาร 27 อีกคน จากที่จะได้ขึ้นรองแม่ทัพภาค 1 ก็ได้เป็นแค่ รองแม่ทัพน้อย 1 เท่านั้น

กองทัพจึงเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในการผลัดใบ จาก บูรพาพยัคฆ์สายตรง 3ป. มาสู่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่มี ตท.28 รุ่นที่เปี่ยมพลัง เป็นฐานอำนาจภายใต้ สมการ ทหารคอแดง ที่อยู่เหนืออำนาจ ทางการเมือง