สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 8-14 ม.ค.2566



1.”บิ๊กตู่” เปิดใจเข้า “รวมไทยสร้างชาติ” ไม่ใช่เพราะอยากอยู่ต่อ แต่เพราะ ปท.ต้องไปต่อ ด้าน “บิ๊กป้อม” อวยพรให้ประสบความสำเร็จ ย้ำ 3 ป. ยัง Forever!

เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ที่ห้องรับรอง ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามในใบสมัครสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และได้เสียเงินค่าสมาชิก 2,000 บาท เพื่อเป็นสมาชิกตลอดชีพ

จากนั้น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค ได้สวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีขาวของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก่อนนำเดินโชว์ตัว พล.อ.ประยุทธ์ แก่สมาชิกพรรคภายในงาน ท่ามกลางเสียงเชียร์ “ลุงตู่สู้ๆ” “ลุงตู่อยู่ต่อ”

ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะขึ้นเวทีกล่าว Mission และทิศทางก้าวต่อไปเพื่อคนไทยทั้งชาติ โดยกล่าวช่วงหนึ่งว่า วันนี้ขอขอบคุณด้วยใจจริง พวกเราคือคนไทยหัวใจเดียวกัน ทั้งคนที่นี่และที่อยู่ทางบ้านทุกฝ่ายในฐานะคนไทย วันนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตในการสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองและเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ที่ตนมีวันนี้ได้เพราะพวกเรา เพราะเราคือประเทศไทย คือแผ่นดินที่ศักดิ์สิทธิ์ เราต้องดำรงรักษาแผ่นดินนี้ให้มากที่สุด …เราต้องยึดมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ นี่คือหัวใจของคนไทยทั้งชาติ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า จะบอกว่าทำไมมายืนตรงนี้วันนี้ เมื่อเรามีหัวใจดวงเดียวกัน ทำเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน เป็นหลัก เราต้องป็นที่พึ่งของประชาชนทุกโอกาส เราต้องร่วมมือร่วมใจ วันนี้หลายคนสงสัยว่าตนอยากเป็นต่อหรือไม่ ตนไม่ได้อยากเป็นใหญ่ ไม่ได้อยากมีอำนาจ อำนาจมีเยอะแล้ว มีมาทั้งชีวิต แต่อำนาจมาพร้อมความรับผิดชอบ การมีอำนาจต้องใช้ให้ถูกต้องเป็นธรรม ตามกระบวนการ ที่มาวันนี้ไม่ได้อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และไม่อยากรับผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น วันนี้ที่มายืนตรงนี้ เพราะตนเคารพในกระบวนการประชาธิปไตยของประเทศไทย ไม่ได้มาเพราะอยากอยู่ต่อ แต่อยากพูดกับทุกคนว่า ประเทศไทยต้องไปต่อ บนพื้นฐานความมีศักยภาพ ความมั่นคง เพื่อเดินหน้าสู่การเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ตลอดจนการพัฒนาประเทศ วันนี้ถ้ารวมใจ รวมคนไทย รวมไทยสร้างชาติ ทุกอย่างเราแก้ได้แน่

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่สามารถแก้คนเดียว ต้องมีทีมงานที่เรียกพรรคการเมือง หลายคนหาว่าไม่เคารพกระบวนการ วันนี้จำเป็นด้วยเหตุผลประเทศไทยต้องไปต่อ สู่อนาคตที่มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน จึงตัดสินใจเข้าพรรค ซึ่งตนคิดแล้วคิดอีกมาหลายเดือน ถ้ารู้แบบนี้มานานแล้ว เพราะไม่แน่ใจจะมีคนรักตนอีกหรือไม่ อย่าเป็นคนขี้เบื่อเร็วนัก ขณะที่กองเชียร์ได้ตะโกนว่า “รักลุงๆ”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ย้อนไปตั้งแต่ปี 2562 เราเข้าสู่การเลือกตั้ง แต่มีงานของเราที่ทำไม่จบ ตนจึงจำเป็นต้องก้าวมาสู่ตรงนี้ หลายอย่างต้องทำต่อ ทำใหม่ ทำเพิ่ม ทำอย่างไรให้เดินหน้าไปให้ได้ และในเมื่อตัดสินใจทางการเมืองร่วมกับพรรคนี้ หวังว่ามีโอกาสทำเรื่องต่างๆได้ วันนี้ต้องทำให้เราเข้มแข็งก่อน ประเทศไทยมีอยู่แล้วความมีเสถียรภาพ ความรัก และความสามัคคี ต้องไม่ให้ใครมาทำลายความรักความสามัคคี …ประเทศไทยไม่ใช่ของใคร แต่เป็นของพวกเราทุกคน…ที่ตนตัดสินใจมายืนตรงนี้ แม้เหนื่อยเครียดก็พยายามอดทน เพื่อทำสิ่งที่ดีกว่า แต่ไม่ใช่ตนพูดแล้วจะได้เลย ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เสียงของประชาชนตัดสินใจ ตนไปกำหนดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว…

ทั้งนี้ 4 วันต่อมา (13 ม.ค.) เพจเฟซบุ๊ก พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นเพจทางการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้มีการโพสต์จดหมายเปิดใจ โดยระบุว่า

“เป็นที่ทราบกันดีว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยครั้งใหญ่ หลังการรัฐประหารโดย คสช. เมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ด้วยความจำเป็นของกองทัพภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในขณะนั้น ต้องออกจากกรมกองมายุติวิกฤตการณ์ของบ้านเมืองที่ก่อตัวมานานนับปี จนสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ชื่อเสียงประเทศ และบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ

“ขณะนั้น ผมเกษียณอายุราชการจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. ไปตั้งแต่ พ.ศ. 2548 จึงทำได้เพียงเฝ้าติดตามสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จัดตั้งรัฐบาลเพื่อปฏิรูปบ้านเมืองและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมก็ได้ตอบรับเข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เพื่อหวังจะช่วยประคับประคองสถานการณ์ให้คืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว…

“ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากประชาชนให้รีบจัดการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลในขณะนั้นก็ตระหนักดีถึงความต้องการของประชาชน และความชอบธรรมของรัฐบาลจากการเลือกตั้ง รวมไปถึงการยอมรับจากประชาคมโลก จึงเร่งผลักดันกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว

“เมื่อกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น เตรียมพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ ก็แสดงความประสงค์จะทำงานการเมือง โดยอ้างว่าเพื่อสานต่อภารกิจที่ดำเนินการไว้ให้สำเร็จ ผมจึงตัดสินใจสนับสนุนให้มีการตั้งพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งและเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ให้กลับมาเป็นนายกฯ ตามที่เจ้าตัวปรารถนา…

มาบัดนี้ ชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ แสดงจุดยืนทางการเมืองเมื่อวันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 ว่า จะแยกทางจากพรรคพลังประชารัฐที่เคยสนับสนุนขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ตรงกับที่สื่อมวลชนไปสืบข่าวมาก่อนหน้านี้ ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นพรรคสำรองให้กับ พล.อ.ประยุทธ์

ผมเคยกล่าวไว้ว่า “3 ป. Forever” มาวันนี้ ผมก็ยังมีความรู้สึกเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในเมื่อท่านตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ผมก็ไม่สามารถจะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ คงจะบอกได้เพียงว่า ผมขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย ขอให้ประสบความสำเร็จบนเส้นทางการเมืองใหม่ที่ท่านได้ตัดสินใจเลือกแล้ว

“สำหรับผม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขอประกาศในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะขอรับผิดชอบและจะไม่มีวันทอดทิ้งสมาชิกพรรคทุกคน ที่เคยทำงานการเมืองมาด้วยกัน และพร้อมจะเดินนำทุกคนที่มีความเชื่อมั่นในความตั้งใจอันแน่วแน่ของผม เข้าสู่การเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป เพื่อกลับมาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารบ้านเมืองอีกครั้ง”

2.”นอท กองสลากพลัส” อ้างไม่รู้จักแก๊งฟอกเงินที่โอนเข้าบัญชีหลายสิบล้าน ยอมรับโง่เองที่ไม่ตรวจสอบ ด้านดีเอสไอพบอีก 39 เส้นทางเงินกว่าพันล้าน รอเจ้าตัวแจง!



ความคืบหน้ากรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ออกหมายเรียกนายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ “นอท กองสลากพลัส” มาสอบปากคำในวันที่ 13 ม.ค. หลังพบแก๊งฟอกเงินโอนเงินเข้าบัญชีหลายสิบล้าน ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 13 ม.ค. นายพันธ์ธวัช หรือ “นอท กองสลากพลัส” พร้อมทนายความ ได้เดินทางเข้าพบนายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีดีเอสไอ และนายพงษธร อินอำนวย ผอ.ศูนย์คดียาเสพติด เพื่อให้ปากคำ

หลังเสร็จสิ้นการสอบปากคำ นายไตรยฤทธิ์ เผยว่า นายพันธ์ธวัช เดินทางมาให้ถ้อยคำตามหมายเรียก และมีการสอบถามประเด็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่โอนเงินให้นายพันธ์ธวัช รู้จักกันหรือไม่ มีพฤติการณ์อย่างไร มีการดำเนินธุรกิจอย่างอื่นร่วมกันหรือไม่ เหตุใดถึงโอนเงินจำนวนดังกล่าวมาให้ ซึ่งการสอบถามนั้นเพื่อให้นายพันธ์ธวัชได้ชี้แจง และเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ครบถ้วน แต่ยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะต้องนำข้อมูลอื่นมาประกอบการสืบสวนเพิ่มเติมต่อไป

ส่วนนายพันธ์ธวัชเกี่ยวข้องกับผู้ถูกออกหมายเรียก 1 ใน 7 ที่เดินทางมาก่อนหน้านี้หรือไม่นั้น นายไตรยฤทธิ์ เผยว่า นายพันธ์ธวัชให้การว่าไม่รู้จักกันมาก่อน แต่รู้จักกันผ่านนายหน้าหลายคน และก็ได้เจอกันแค่วันเดียว แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการติดต่อกันอีกเลย ส่วนลักษณะการโอนเงินก้อนดังกล่าวขอยังไม่เปิดเผย เพราะมีพฤติการณ์ที่ซับซ้อน ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจและหาข้อมูลประกอบเพิ่มเติม

นายไตรยฤทธิ์ เผยอีกว่า เงินจำนวน 42 ล้านบาทที่โอนเข้าบัญชีส่วนตัวนายพันธ์ธวัช เป็นชื่อบุคคลเดียวและเป็น 1 ใน 7 บุคคลที่ออกหมายเรียกแต่ยังขอเลื่อนเข้าพบดีเอสไอ รวมทั้งจะต้องมีการตรวจสอบว่ามีการโอนเงินออกไปสู่บัญชีอื่นด้วยหรือไม่ และว่า ยังมีเส้นทางการเงินอีก 39 เส้นทางที่นายพันธ์ธวัชจะต้องเข้ามาชี้แจงภายในสองสัปดาห์ มูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท และต้องส่งเอกสารเพิ่มเติมว่าเป็นเงินลงทุน เงินหมุนเวียน ผู้โอนมีความสัมพันธ์อย่างไร ส่วนจะเชื่อมโยงกับขบวนการยาเสพติดหรือไม่ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนในเรื่องนี้ ทั้งนี้ เงินที่ปรากฏนั้นเป็นเงินที่เข้ามาระหว่างการทำธุรกิจกองสลากพลัส

นายไตรยฤทธิ์ เผยต่อว่า นอกจากนี้ ดีเอสไอจะมีการสอบถามไปทางกองสลากกินแบ่งรัฐบาลเพิ่มเติมด้วยว่า มีระเบียบ ข้อบังคับหรือกฎหมายที่เกี่ยวกับการขึ้นเงิน การให้ผู้ประกอบการไปจำหน่ายสลาก ซึ่งตรงนี้มันจะมีที่มาที่ไปอยู่ ขอเวลาในการรวบรวมพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงให้ชัดเจนก่อน

นายไตรยฤทธิ์ เผยด้วยว่า “บรรยากาศการพูดคุยในห้องสอบสวน ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ต้องหา หรือเป็นผู้กระทำความผิด เพราะทุกคนยังเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นประชาชนที่ได้รับสิทธิ์ในการคุ้มครอง ขอยืนยันว่า มีข้อมูลของกองสลากอื่นๆ ด้วย แต่ความผิดอาจจะแตกต่างกัน ต้องพิจารณาไปเป็นเรื่องๆ และเรื่องนี้ไม่มีการรับงานมาเพื่อพุ่งเป้าที่กองสลากพลัส แต่มันเป็นเรื่องที่สังคมอยากให้มีการตรวจสอบ เราให้ความเป็นธรรม ซึ่งการค้าขายสลากออนไลน์ ถ้าทำให้ถูกต้องก็เป็นประโยชน์กับตัวเขาเองและบริษัท หากชี้แจงทุกอย่างได้”

ด้านนายพงษธร อินอำนวย ผอ.ศูนย์คดียาเสพติด เผยว่า ในวันที่ 16 ม.ค.นี้ นายสันธนะ ประยูรรัตน์ จะเดินทางเข้ามาที่ศูนย์คดียาเสพติดด้วย คาดว่าจะมาเรื่อง “นอท กองสลากพลัส”

รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 16 ม.ค. ช่วงบ่าย อธิบดีดีเอสไอ พร้อมพนักงานสอบสวน จะเดินทางไปตรวจสอบสถานที่ 2 แห่ง เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ว่า สิ่งที่นายพันธ์ธวัชพูดนั้นเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ คือ 1.โกดังเก็บสลากกินแบ่ง ประมาณ 170 ล้านใบ ที่ได้มีการขายสลากกินแบ่งเหลือแล้วเก็บไว้ เพื่อสอบถามถึงสาเหตุว่าเก็บไว้ทำไม และ 2.ออฟฟิศ “กองสลากพลัส” ซึ่งเป็นที่เก็บเอกสาร เพื่อไปดูว่าลอตเตอรี่มีจริงหรือไม่ มีการจัดเก็บไว้เพื่อเตรียมจำหน่ายจริงหรือไม่ เป็นลักษณะหวยทิพย์หรือไม่

วันเดียวกัน (13 ม.ค.) นายพันธ์ธวัช หรือ “นอท กองสลากพลัส” ได้ตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงภายหลังเข้าให้ปากคำต่อดีเอสไอกรณีรับเงินหลายสิบล้านจากขบวนการฟอกเงินว่า มีหมายเรียกให้ชี้แจงเงินที่โอนเข้าบัญชีส่วนตัวในวันที่ 10 ส.ค. 64 จำนวน 42,381,030 บาท และ 11,207,680 บาท โดยชี้แจงว่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่ตนเองมอบอำนาจให้นาย อ. ซึ่งเป็นนายทุนที่สนใจแพลตฟอร์มกองสลากพลัส พร้อมเลขาส่วนตัวของตนเอง นำสลากที่ลูกค้าถูกรางวัลไปขึ้นที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยหลังขึ้นเงินแล้ว เจรจาทางธุรกิจไม่ลงตัว นาย อ.อยากเป็นหุ้นส่วน แต่ตนเองอยากได้เงินกู้ จึงต้องแยกทางกัน

นายพันธ์ธวัช ยอมรับว่า โง่เอง เพราะตอนนั้นโลภมาก อยากเอาเงินไปทำธุรกิจ จึงพร้อมทำทุกอย่าง และไม่ได้ตรวจสอบประวัตินาย อ.ก่อน แต่ทราบว่า เขาเป็นบุคคลธรรมดา ไม่มีสี เชื่อว่า เรื่องนี้ไม่มีเบื้องหลัง เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษสืบมาตั้งแต่ปี 65 ไม่มีอำนาจทางการเมืองเข้ามาแทรกแซง และไม่เกี่ยวข้องกับที่นายกรัฐมนตรีสั่งการให้สอบเส้นทางการเงินของกองสลากพลัส โดยหลังจากนี้ จะต้องตรวจสอบนายทุนที่ต้องการมาร่วมทุนให้มากขึ้น เพราะหน้าฉากเป็นแบบหนึ่ง หลังฉากอาจเป็นอีกแบบหนึ่ง พร้อมปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดของนาย อ.

นายพันธ์ธวัช กล่าวอีกว่า ในวันที่ 16 ม.ค.นี้ นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีดีเอสไอ จะเดินทางตรวจเยี่ยมคลังเก็บสลากกินแบ่งรัฐบาล 170 ล้านใบ และที่ทำการบริษัท กองสลากพลัส ด้วย ทั้งนี้ ตนเองอยู่ระหว่างเตรียมพยานหลักฐาน เตรียมยื่นชี้แจงเส้นทางการเงิน 39 รายการ ต่อดีเอสไอภายใน 2 สัปดาห์ โดยยืนยันว่า เป็นเงินที่ทำธุรกิจตามปกติ 1,030 ล้านบาท

นายพันธ์ธวัช กล่าวด้วยว่า งวดนี้สลากกินแบ่งรัฐบาลของกองสลากพลัสขายดีมาก ยังมีความน่าเชื่อถืออยู่ เพราะลูกค้าไม่ได้ตัดสินตนเองแต่แรก แต่รอฟังคำชี้แจง โดยงวดนี้ได้สลากกินแบ่งรัฐบาลมาในราคาใบละ 98 บาท จำนวน 10 ล้านใบ ส่วนคดี พ.ร.บ.ขายตรงนั้น โดนมานานแล้ว ตั้งแต่ 2 ก.พ. 64 ขณะนี้เรื่องอยู่ในชั้นศาล ก่อนหน้านี้ ตนเองยื่นเรื่องไปที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อขอจดทะเบียนประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง ซึ่งสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มีความเห็นว่า ตนเองขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์เกินราคา ขอยืนยันว่า ไม่ได้ขายเกินราคา เพราะมีค่าบริการ ซึ่งตนเองพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย

ส่วนจะมีความกังวลหรือไม่ ที่อาจตกเป็นผู้ต้องหาเพิ่มอีกหนึ่งคดี นายพันธ์ธวัช ยืนยันว่า ไม่กังวลอะไรเลย ไม่เชื่อเรื่องมู ไม่เกี่ยวกับดวง เกี่ยวกับที่ตนเองทำแพลตฟอร์มสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ ส่วนที่หลายคนมองว่า กองสลากพลัสเป็นธุรกิจฟอกเงินนั้น ต้องถามว่าใคร ตนเองไม่ได้ฟอกเงินจากใคร คนจะมองเราอย่างไรก็ได้ แต่ธุรกิจกองสลากพลัสได้กำไร โดยเฉพาะปีนี้คงไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท จึงไม่จำเป็นต้องฟอกเงินใคร คิดเพียงว่าจะหาลูกค้าอย่างไรเท่านั้น ซึ่งวันหนึ่งผมทำงาน 20 ชั่วโมงนะ หน้าผมโทรมมาก คนจะฟอกเงิน ไม่ต้องทำงานหนัก

อนึ่ง เมื่อวันที่ 9 ม.ค. นายพันธ์ธวัช หรือ “นอท กองสลากพลัส ได้เข้าพบ พ.ต.ท.ณัฐพนธ์ สุวรรณรงค์ รอง ผกก.สอบสวน กก.2 บก.ปคบ. ตามหมายเรียกให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา “ร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ได้จดทะเบียน และร่วมกันเสนอจำหน่าย และจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ออกรางวัลเกินราคาที่กฎหมายกำหนด”

3. “ทนายตั้ม” แฉ อดีตรองนายกฯ คบชู้ภรรยาคนอื่น ด้าน “ยงยุทธ” แจ้งจับฝ่ายหญิง-สามี-พ่อแม่อ้างร่วมกันฉ้อโกง ทนายตั้มแจ้งความกลับฐานแจ้งเท็จ!



ความคืบหน้ากรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้โพสต์ภาพ พร้อมระบุว่า ผัวช็อก เจอภาพเมียเป็นชู้กับอดีตรองนายกรัฐมนตรี โดยฝ่ายชายชื่อ ก.มาปรึกษาว่า ช่วงปีที่ผ่านมา ภรรยามีท่าทีเปลี่ยนไป จึงแอบเอาโทรศัพท์มาเช็ก ปรากฏว่า เจอภาพโป๊เปลือยของภรรยา แล้วที่ช็อกยิ่งกว่าคือ คนที่ถ่ายรูปคู่เปลือยด้วยกันนั้น คืออดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นคนที่ใครๆ ก็รู้จัก จึงมาปรึกษา จะทำอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าว ทำให้กระแสสังคมต่างคาดเดาว่า อดีตรองนายกฯ ที่เป็นชู้กับภรรยาคนอื่น คือรองนายกฯ คนไหน

ต่อมา ทนายตั้มได้โพสต์อีกครั้ง พร้อมบอกใบ้ตัวอักษร ย. นอกจากนี้ได้โพสต์อีกว่า “คดีนี้มาปรึกษาผมตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมก็ทำเรื่องฟ้องหย่าภรรยา ฟ้องชู้ที่เป็นอดีตรองนายกฯ ไปแล้ว แต่ปรากฏว่า ได้มีการข่มขู่ คุกคามคุณ ก.มาตลอด คุณ ก.เลยอยากจะให้เรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ เพื่อป้องกันตัวหากเป็นอะไร และอยากให้ประชาชนได้รู้พฤติกรรมของนักการเมืองใหญ่คนนี้ จึงขอให้ผมช่วยดำเนินการให้….”

ด้านนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีอดีตรองนายกฯ เป็นชู้กับภรรยาคนอื่นว่า ได้ให้คนใกล้ชิดติดต่อทนายตั้ม ซึ่งทนายตั้มบอกใบ้ว่า เป็นรองนายกฯ ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ “เมื่อเช้าที่ผ่านมา (8 ม.ค.) นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองนายกฯ โทรมาหาและปฏิเสธไม่ใช่ตัวเองแน่นอน เพราะอายุ 80 ปีแล้ว ซึ่งดูจากรูปและผิดพรรณยังไม่แก่เท่าไหร่ ต้องเดาว่าเป็นใคร ส่วนตัวไม่มีคลิปและรูป…”

ขณะที่ทนายตั้มได้เปิดแถลงเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 9 ม.ค. กรณีอดีตรองนายกฯ เป็นชู้กับภรรยาคนอื่น โดยระบุว่า จาการดูรูปย้อนหลังคาดว่า เหตุการณ์อดีตรองนายกฯ เป็นชู้กับภรรยานาย ก. น่าจะเกิดขึ้นช่วงเดือน ต.ค.ปี 2565 โดยนาย ก.มาหาผมเดือน ธ.ค. หลังจากนาย ก. มาปรึกษาและตกลงว่าจ้างตนเป็นทนายความ ตนจึงได้ฟ้องให้แล้วเมื่อปลายปี โดยฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายและฟ้องหย่าด้วย หลังจากนั้นนาย ก.ก็ถูกข่มเหงระราน และมีชายฉกรรจ์ตามมาที่คอนโดฯ บ้าง

ทนายตั้มยังกล่าวอีกว่า หลังจากนาย ก.ทราบเรื่อง และทะเลาะกับภรรยา ภรรยาได้ไปบอกอดีตรองนายกฯ หลังจากนั้น อดีตรองนายกฯ พยายามเอาตัวออกห่างจากภรรยาของนาย ก. เพราะรู้แล้วว่า สามีของผู้หญิงทราบเรื่องแล้ว นอกจากนี้อดีตรองนายกฯ ยังได้พยายามทวงเงินต่างๆ ที่เคยให้กับภรรยานาย ก.คืน ซึ่งจริงๆ ให้โดยเสน่หา แต่ด้วยความที่รู้จักตำรวจมากมาย ก็ไปแจ้งความว่าเป็นการฉ้อโกงหลอกลวง ไม่ใช่ให้โดยเสน่หา ทั้งนี้ ทนายตั้ม ไม่บอกชื่ออดีตรองนายกฯ คนนี้โดยตรง แต่บอกใบ้ว่า เป็นอดีตรองนายกฯ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย และชอบตีกอล์ฟ แต่ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์



ด้านนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองนายกฯ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้ปฏิเสธก่อนหน้านี้ว่า ไม่ใช่ตน ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอีกครั้ง โดยบอกว่า “ไม่เป็นไร ทราบเรื่องนี้หมดทุกอย่างแล้ว กำลังจัดการอยู่ โดยอยากให้พรรคเพื่อไทยขัดนายษิทราออกจากพรรค เพราะนายษิทราเป็นสมาชิกพรรคอยู่ เหตุการณ์ทั้งหมดยืนยันไม่ใช่ตัวเองแน่นอน เพราะอดีตรองนายกรัฐมนตรีมีตั้งหลายคน”

2 วันต่อมา (11 ม.ค.) พนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน ซึ่งรับผิดชอบคดีที่อดีตรองนายกฯ ย.ฟ้องฝ่ายหญิง ที่ตนคบหาด้วย รวมทั้งสามีฝ่ายหญิง และพ่อแม่ ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ได้นำคำร้องขอศาลอาญาตลิ่งชันผัดฟ้อง หลังจากผู้ต้องหาที่ 1-3 มาศาล แต่ผู้ต้องหาที่ 4 คือพ่อฝ่ายหญิงไม่มาศาล จึงขอศาลออกหมายจับ ซึ่งศาลอนุญาตออกหมายจับ ทั้งนี้ ผู้ต้องหาที่ 1-3 ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาและได้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน

ด้านทนายตั้ม ได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นให้สามีฝ่ายหญิงที่เป็นลูกความที่ถูกอดีตรองนายกฯ ฟ้องด้วย และว่า กรณีที่อดีตรองนายกฯ อ้างว่า ถูกหลอกเอาทรัพย์สินไป 7 รายการนั้น ขณะเกิดเหตุมีใครอยู่บ้าง พ่อแม่และลูกความตนเกี่ยวข้องอย่างไร นอกจากนี้ข้ออ้างเรื่องการสู่ขอฝ่ายหญิงนั้น อดีตรองนายกฯ ไปกับใคร มีสักขีพยานและหลักฐานขณะทำพิธีหรือไม่ ท้ายสุดคือทรัพย์สินมูลค่ากว่า 20 ล้าน นำไปให้ฝ่ายหญิงเมื่อใด ลูกความตนอยู่ด้วยหรือไม่ การทำพิธีสู่ขอต้องมีหลักฐาน ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มี เป็นการสร้างเรื่องเพื่อหาเหตุเอาเงินคืน ตำรวจจึงต้องไปสืบหาเส้นทางการเงิน 20 ล้านที่อ้างว่าให้ฝ่ายหญิงไปด้วย ทนายตั้มยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า หากอดีตรองนายกฯ รู้ว่าตัวเองโดนหลอก เหตุใดถึงไม่มาให้ข่าวแต่แรก กลับรอให้มีภาพหลุดมาก่อน ตนเชื่อมั่นในลูกความตัวเอง เพราะมีหลักฐานชัดเจนทั้งหมด

ทั้งนี้ วันต่อมา (12 ม.ค.) ทนายตั้ม ได้พาสามีหญิงสาวที่ตกเป็นข่าวกับอดีตรองนายกฯ ย.เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.บางยี่ขัน เพื่อดำเนินคดีอดีตรองนายกฯ ย.ข้อหาแจ้งความเท็จที่เคยกล่าวหาว่าร่วมกันฉ้อโกง

ทนายตั้มยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า ก่อนที่ตนจะเปิดแถลงกรณีอดีตรองนายกฯ เป็นชู้กับภรรยานาย ก. ปรากฏว่า อดีตรองนายกฯ ได้ใช้เล่ห์กลด้วยกาพาภรรยาตัวเองไปหย่าร้าง เพื่อที่จะขอคืนทรัพย์สินที่มีการไปหมั้นกับฝ่ายหญิง โดยทำให้ตัวเองเป็นโสด โดยตนทราบมาว่า ทางอดีตรองนายกฯ พาภรรยาไปจดทะเบียนหย่าที่ อ.สามพราน จ.นครปฐม เพื่อใช้ในทางกฎหมายแจ้งความหรือเรียกทรัพย์สินต่างๆ คืน

4. ตร.ฟัน “เสี่ยเบนท์ลีย์” 4 ข้อหาแล้ว “ขับรถประมาทฯ-เมาแล้วขับ-เสพยาเสพติด” หลังซิ่งรถหรูชนยับบนทางด่วน!



จากกรณีที่นายสุทัศน์ สิวาภิรมย์รัตน์ นักธุรกิจชื่อดังและอดีตนายทุนพรรคการเมือง ได้ก่อเหตุขับรถหรูเบนท์ลีย์มาด้วยความเร็วจนเกิดอุบัติเหตุพุ่งชนรถยนต์มิตซูบิชิเสียหลักไปชนรถดับเพลิง อปพร.บางรัก เสียหายทั้ง 3 คันพังยับบนทางด่วนเมื่อคืนวันที่ 8 ม.ค. โดยตำรวจไม่ได้ให้เจ้าของรถหรูเบนท์ลีย์เป่าวัดแอลกอฮอล์ เจ้าตัวอ้างเจ็บหน้าอก เปลี่ยนเป็นการตรวจเลือดแทน ซึ่งทำให้เกิดข้อกังขากลัวผลการตรวจไม่แม่นยำ

ด้าน พ.ต.ท.พิเชษฐ์ ก้อนแพง รอง ผกก. (สอบสวน) งานศูนย์ควบคุมจราจรด่วน 1 กก.2 บก.จร. เผยว่า เบื้องต้นจากการพูดคุย คนขับรถเบนท์ลีย์ยอมรับผิด ยินดีจะชดใช้ค่าเสียหายให้กับคู่กรณีทั้งหมด พร้อมแจ้งข้อหาขับรถประมาททำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ กับขับรถประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ จะเจ็บมากหรือเจ็บน้อยต้องรอแพทย์ประเมิน จากนั้นได้ส่งตัวคนขับไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจเพื่อหาปริมาณแอลกอฮอล์ เป็นการตรวจที่ได้มาตรฐานมีความแม่นยำสูงกว่าการเป่า

ส่วนประเด็นพบขวดไวน์อยู่ภายในรถว่าเปิดหรือไม่เปิดนั้น พ.ต.ท.พิเชษฐ์ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนไม่จำเป็นจะต้องตรวจสอบ เนื่องจากผู้ขับขี่แสดงตัวและไม่ได้หลบหนี ไม่ต้องค้นรถและตรวจคราบต่างๆ หากผลตรวจเลือดจากโรงพยาบาลออกมาว่า ผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกำหนด สามารถแจ้งข้อหาเมาแล้วขับเพิ่มได้ และว่า ทางฝั่งรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร่ บาดเจ็บทุกคน หนักสุดแขนหักอยู่ระหว่างรักษาที่โรงพยาบาล ส่วนคนอื่นๆ บาดเจ็บเล็กน้อย เรื่องของการเจรจาไกล่เกลี่ยมีทนายความของฝั่งรถยนต์มิตซูบิชิได้ติดต่อกับพนักงานสอบสวนแล้ว เช่นเดียวกับฝั่งรถดับเพลิงมีตัวแทนติดต่อมาแล้วเช่นกัน

ต่อมา มีรายงานว่า ผลการตรวจเลือดคนขับเบนท์ลีย์ ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ระดับ 10 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น กฎหมายจึงถือว่าไม่เข้าข่ายเมาแล้วขับ และมีรายงานว่า โรงพยาบาลตำรวจส่งผลตรวจให้พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีนำไปประกอบสำนวนแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. และโฆษก บช.น. ได้ออกมาเผยว่า คดีนี้ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลให้ความสำคัญ และกำชับให้ผู้บังคับการตำรวจจราจรลงไปควบคุมดูแลเกี่ยวกับการดำเนินคดีดังกล่าวด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส และเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชนและสังคม จึงขอแจ้งความคืบหน้าของคดีดังกล่าว

โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 11 ม.ค. จากการที่พนักงานสอบสวนได้รวบรวมข้อเท็จจริง และหลักฐานเพิ่มเติม จึงได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับผู้ขับรถเบนท์ลีย์ ในข้อหา “ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น และเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส, ได้รับอันตรายแก่กายและทรัพย์สินเสียหาย, ขับรถในขณะเมาสุรา (ฝ่าฝืนไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ ให้สันนิษฐานว่า เมาแล้วขับ) และนำตัวผู้ต้องหาไปทำการฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งศาลได้พิจารณารับฝากขังตามคำร้อง

พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวด้วยว่า เนื่องจากคดีดังกล่าว ยังมีพี่น้องประชาชนในสังคมมีความสงสัยเกี่ยวกับการดำเนินการ และการใช้วิจารณญาณของพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับการตรวจวัดแอลกอฮอล์ ผู้บังคับการตำรวจจราจรจึงได้ออกคำสั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 10 ม.ค. โดยมอบหมายให้รองผู้บังคับการตำรวจจราจรเป็นประธานคณะกรรมการ และให้รายงานผลการตรวจสอบให้ทราบภายใน 15 วัน ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบต่อไป

พล.ต.ต.จิรสันต์ เผยความคืบหน้าของคดีนี้อีกครั้งเมื่อวันที่ 13 ม.ค.ว่า ผลการตรวจเลือดจาก รพ.ตำรวจ พบสารเสพติดในร่างกายคนขับ โดยหนึ่งในสารที่สามารถยืนยันได้ขณะนี้คือ “เมทแอมเฟตามีน” และอยู่ระหว่างคัดแยกตัวสารเสพติดชนิดอื่น หลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะพิจารณาแจ้งข้อหา “ขับรถเสพยาเสพติด” เพิ่มเติมต่อจากข้อหา “ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น และเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส, ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและทรัพย์สินเสียหาย, ขับรถในขณะเมาสุรา” รวมทั้งหมด 4 ข้อหา

5. ปิดตำนาน “เอสโซ่”! บางจากทุ่ม 5.5 หมื่นล้านเทคโอเวอร์ เอสโซ่ ประเทศไทย เสริมความแกร่งด้านพลังงาน!



เมื่อวันที่ 12 ม.ค. บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 ได้มีมติเอกฉันท์อนุมัติการเข้าทำธุรกรรมและเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (“ExxonMobil”)

โดยบางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ ExxonMobil เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 และคาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนด และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด (tender offer) ของเอสโซ่ หลังจากการทำธุรกรรมกับ ExxonMobil เสร็จสิ้น

ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ความมั่นคงทางพลังงานที่มากขึ้นของบางจากฯ และประเทศไทย เป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่เพิ่มความยั่งยืนและเพิ่มการเข้าถึงพลังงานได้ง่ายขึ้น เชื่อมั่นว่า การทำธุรกรรมครั้งนี้ ถือเป็นการพลิกโฉมสู่บริบทใหม่สำหรับบางจากฯ และประเทศไทย

สำหรับการลงทุนครั้งนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง คือ โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ก่อให้เกิดการประหยัดเชิงขนาดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท โดยจะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง

สามารถดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น จัดหาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้น และได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการกลั่นที่เสริมกันของโรงกลั่นทั้งสอง และการให้บริการด้านการตลาดที่ครอบคลุมและนำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้มากขึ้นผ่านสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี ช่วยเพิ่มพูนทักษะและความสามารถของพนักงาน สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจและก่อให้เกิดการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ลูกค้า และเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มบริษัทบางจากในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

การเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว เป็นการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 65.99 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ เอสโซ่จาก ExxonMobil โดยมีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท และมีกลไกการปรับราคาซื้อขายหุ้นตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้น ทั้งนี้ หากอ้างอิงตามงบการเงินสอบทานในไตรมาส 3/2565 ของเอสโซ่ จะได้ราคาเบื้องต้นประมาณ 8.84 บาทต่อ 1 หุ้น หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยราคาสุดท้ายจะมีการปรับตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้

สำหรับแหล่งเงินทุน บางจากฯ จะใช้เงินทุนทั้งแหล่งภายนอกจากสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และจากกระแสเงินสดภายในบริษัท และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้นจาก ExxonMobil เสร็จสิ้น อนึ่ง ExxonMobil จะยังคงดำเนินธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์หล่อลื่นและเคมีภัณฑ์ในประเทศไทยต่อไป

ทั้งนี้ การเข้าทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และขึ้นอยู่กับการอนุมัติของผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 โดยคาดว่า จะดำเนินการซื้อขายแล้วเสร็จภายในครึ่งหลังของปี 2566