“ข่าวลึกปมลับ” เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APP และสถานีโทรทัศน์ NEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 ตอน งามไส้กองทัพบก ธุรกิจสูบเลือดลูกน้อง ปัญหายังซุกใต้พรม
กลายเป็น ‘ขยะใต้พรม’ ของ ทบ. ผ่านไป 2 ปีครึ่ง จากเหตุการณ์ ‘จ่าคลั่ง’ กราดยิง จ.นครราชสีมา ที่เรื่องใน รั้วกองทัพลุกลามออกมาทำร้าย ‘ผู้บริสุทธิ์’ ภายนอก จากปัญหา ‘ธุรกิจในกองทัพ’ ที่เป็น ‘วงจรอุบาทว์’ เปรียบเป็น ‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก’ ตามลำดับชั้นยศ
วันนี้ปัญหาเหล่านี้ยังคงอยู่ แม้ ‘บิ๊กแดง’พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. ในเวลานั้น จะพยายามล้างบาง ‘ธุรกิจในกองทัพ’ ที่เครือข่าย ‘ผู้บังคับหน่วย’ หรือ ‘ผู้บังคับบัญชา’ หากินกับ ‘ลูกน้อง’
ผ่านมาถึงยุค ‘บิ๊กบี้’พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. คนปัจจุบัน ปัญหาก็ยังค้างคาอยู่
ย้อนชนวนเหตุ จ่าสิบเอก จักรพันธ์ ถมมา ทหารสังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 กองทัพภาคที่ 2 ได้ก่อเหตุยิง พ.อ.อนันต์โรจน์ กระแส ผู้บังคับการกองพันสรรพาวุธ กระสุนที่ 22 กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา พร้อมกับ นางอนงค์ มิตรจันทร์ แม่ยายของ พ.อ.อนันต์โรจน์ ก่อนออกมาก่อเหตุนอกค่ายทหาร
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มาจาก นางอนงค์ เป็นผู้ประกอบการทำธุรกิจ ‘สร้างบ้าน-ซื้อที่ดิน’ ให้กับ จ่าสิบเอก จักรพันธ์ เพื่อให้นำไปกู้เงินออมทรัพย์สวัสดิการกองทัพบก หรือ เงิน อทบ. ตามคำแนะนำของ พ.อ.อนันต์โรจน์ โดยสามีของนางอนงค์ ก็เป็นผู้บังคับบัญชาที่ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ ให้ความนับถือ จึงแนะนำให้มากู้เงินจากนางอนงค์ โดยมี นายพิทยา แก้มพรม เป็นนายหน้า
ชนวนเหตุเกิดจาก จ่าสิบเอกจักรพันธ์ ต้องการมาทวงเงินส่วนต่าง 50,000 บาท ที่ต้องได้คืน จากจำนวนทั้งหมดประมาณ 400,000 บาท จึงเกิดข้อพิพาทเรื่องเงินและการซื้อขายบ้านที่จ่าสิบเอกจักรพันธ์ ซื้อจากนายหน้า และตกลงกันไม่ได้จึงได้ก่อเหตุดังกล่าว
ซึ่งได้รับคำยืนยันจาก พล.อ.อภิรัชต์ โดยระบุว่า ทหารผู้ก่อเหตุ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ จากการซื้อขายที่ดินและผิดสัญญากันในเรื่องผลตอบแทน
จากนั้น พล.อ.อภิรัชต์ ก็ตั้งโพเดี้ยมขอโทษประชาชน ด้วยนำ้ตา พร้อมให้คำสัญญาว่าจะปฏิรูปกองทัพบกล้างบางการทำธุรกิจในกองทัพ เปิดช่องทางลับให้ทหารชั้นผู้น้อยร้องเรียน หากถูกผู้บังคับบัญชาเอาเปรียบ พร้อมจัดระเบียบ ‘บ้านสวัสดิการ ทบ.’ หรือ ‘บ้านหลวงใหม่’ ให้เพียงพอต่อกำลังพล ไล่ทหารเกษียณฯออกไป
ต่อมา ทบ. ก็ลงนามใน MOU กับ กรมธนารักษ์ เพื่อปรับปรุงการทำธุรกิจเชิงพาณิชย์ในที่ดินราชพัสดุของกองทัพบก ทั้งกิจการสนามม้า สนามมวย สนามกอล์ฟ โรงแรม มากกว่า 40 แห่ง
ล่าสุด วันนี้มี ‘ผู้เสียหาย’ ที่เป็นผู้ประกอบการสร้างบ้านพักขายให้กับกำลังพล ทบ. มายื่นร้องเรียนกระทรวงยุติธรรม ขอรับการคุ้มครองพยาน หลังถูกทหารระดับนายพล นายหนึ่งของ ทบ. ข่มขู่คุกคาม เพราะรู้ความลับ มีหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินสวัสดิการทหารบก ที่ไม่เป็นธรรม
โดยชี้ว่าเป็นชนวนเหตุ ‘จ่าคลั่งกราดยิง’ ที่ จ.นครราชสีมา ด้วย
ซึ่ง ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ เปิดเผยว่า กำลังพลซึ่งเป็นผู้เสียหายหลายรายได้กู้ยืมเงินจากกรมสวัสดิการทหารบก ซึ่งทางกรมสวัสดิการ ทบ. อ้างว่า จะต้องหักค่าธรรมเนียมกองทัพบก 5%
ยกตัวอย่างเช่น บ้านราคา 1 ล้านบาท กำลังพลจะต้องกู้สวัสดิการ วงเงิน 1,500,000 บาท และจะถูกหัก 5% คือ 75,000 บาท เป็น ‘ค่าธรรมเนียมกองทัพบก’ โดยกำลังพลที่เป็น ‘ผู้กู้’ จะไม่ทราบว่ามีการหักเงินตรงส่วนนี้ไว้
นอกจากนี้ยังมีการหัก ‘ค่าเงินทอนส่วนต่าง’ อีกประมาณ 400,000 บาท ซึ่งเงินก้อนนี้จะต้องเก็บไว้เพื่อตกแต่งบ้าน
ทำให้จำนวนเงินหายจากที่ได้รับจริง 2 ส่วน คือ หักค่าธรรมเนียมกองทัพบก 5 % และ ค่าเงินทอนส่วนต่าง 400,000 บาท
ทนายไพศาล กล่าวอีกว่า กรณีของจ่าคลั่งที่กราดยิง อาจทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเงินทั้ง 2 ส่วน ไปอยู่กับ ‘ผู้ประกอบการ’ จึงไปตามทวงถามเงินกับผู้ประกอบการ คือ นางอนงค์ มิตรจันทร์ ที่ถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น เพราะไม่พอใจที่นางอนงค์ เก็บเงินส่วนต่างสำหรับตกแต่งบ้าน รวมถึงเงิน 5% ประกอบกับบ้านที่จ่าคลั่งซื้อ ยังสร้างไม่เสร็จ ระบบน้ำ-ไฟต่างๆ ก็ยังไม่เสร็จ จึงไม่พอใจและได้ก่อเหตุ
ทนายไพศาล กล่าวต่อว่า ประเด็นสำคัญ คือ ส่วนต่าง 5% ของสวัสดิการกองทัพบกนั้น ที่กำลังพลไม่ได้รับเงินส่วนนี้หายไปไหน หรือ ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่คนใด ทั้งนี้ยังมีกำลังพลอีกหลายรายได้รับผลกระทบจาก ‘เงินส่วนต่าง’ และเงินค่าธรรมเนียม 5%
อย่างไรก็ตามหนึ่งใน ‘ผู้ประกอบการ’ ที่มากับทนายไพศาล เปิดเผยว่า ตัวเองเป็นผู้ประกอบการสร้างบ้านขายให้กับกำลังพล ทบ. แต่ไม่ทราบว่าถูกหักเงิน 5% เพราะถูกกรมสวัสดิการทหารบกเก็บไว้ อ้างเป็นค่าธรรมเนียมของกองทัพบก
สุดท้ายแล้วไปสืบสาวราวเรื่อง จนทราบว่า 5% ตรงนี้กองทัพบก ‘ไม่มีระเบียบในการจัดเก็บ’ เป็นการเก็บเงินเข้ากระเป๋าตัวเองของนายทหารคนหนึ่ง ของกรมสวัสดิการทหารบก
.
ทั้งหมดนี้ต้องหาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายต่อไป แต่สะท้อนชัดเจนว่า ‘ธุรกิจในกองทัพ’ ยังไม่หมดไป แม้ 2 ผบ.ทบ. จะประกาศสู้ และผ่านมา 2 ปีครึ่ง ดูเหมือน ทบ. จะแก้ปัญหา ชนิดที่เรียกว่า ‘ผักชีโรยหน้า-แก้เก้อ’ เท่านั้น
เพราะยังล่าไปไม่ถึง ‘ตัวใหญ่สุด’ และ ‘ปล่อยปละ’ ต่อไป ประชาชนคงทำได้แค่ ‘ภาวนา’ ไม่ให้มีฝันร้าย เฉกเช่นในอดีตเกิดขึ้นอีก
————————————-
**หมายเหตุ
ดาวโหลดแอป Sondhi App ได้แล้ว
ระบบ iOS ไปที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647
ระบบ android ไปที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
สมัครสมาชิกได้แล้ววันนี้
รายเดือนเพียง เดือนละ 99 บาท
รายปี 990 บาท (10 เดือน แถม 2เดือน )
ถ้ามีปัญหาการใช้งาน app หรือการสมัครสมาชิกใน app ติดต่อสอบถามได้ที่ Line id : @sondhitalk หรือ https://lin.ee/Skns1k1