ก้อนเมฆเล่าเรื่อง 4 แนวทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติ DBS

ผมมีโอกาสได้ไปเล่นบาสเกตบอลนัดพิเศษที่โรงเรียนนานาชาติ DBS หรือ Denla British School ที่อยู่บนถนนราชพฤกษ์ ผมมักจะหันไปดูโรงเรียนนี้เสมอเพราะป้ายและทางเข้าโรงเรียนใหญ่โตสะดุดตาเหลือเกิน ไม่นึกว่าจะได้เข้ามาด้านใน แถมยังได้เล่นบาสเกตบอลในโรงยิมระดับมาตรฐานต่างประเทศ (ไม่มีเสาที่แป้นบาสนะครับ แป้นเป็นระบบไฮดรอลิกที่เซตมาจากด้านบน) ห้องน้ำและห้องแต่งตัวเหมือนเวลาเราได้ดูหนังฝรั่งที่จะแบ่งที่เก็บของเป็นล็อกส่วนตัว เรียกว่าไปแล้วตื่นตาตื่นใจมาก และผมได้พบผู้บริหารโรงเรียนเพื่อขอนัดพูดคุย

This image is not belong to us

ในอาทิตย์ถัดมา ผมได้พบกับ ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารโรงเรียน ได้เล่าถึงประวัติโรงเรียนอนุบาลเด่นหล้าที่ถนนเพชรเกษม ซึ่งเป็นโรงเรียนเล็กๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2522 ไล่มาถึงโรงเรียนเด่นหล้า สาขาพระราม 5 ปี พ.ศ.2549 ที่เป็นหลังสูตร English Program จนมาถึง DBS–Denla British School สาขาล่าสุดที่ถนนราชพฤกษ์ เปิดปี พ.ศ.2560 เพิ่งมีอายุ 4 ปีและเป็นหลักสูตรนานาชาติ

ผมสอบถามว่า “โรงเรียนเด่นหล้า” เกี่ยวข้องกับ “โรงเรียนเลิศหล้า” หรือไม่ ดร.เต็มยศ บอกว่า โรงเรียนเด่นหล้าทุกสาขาบริหารโดยเจ้าของเดียวกันทั้งหมด ส่วน “โรงเรียนเลิศหล้า” จะเป็นของญาติ ต่างคนต่างบริหารโรงเรียนของตัวเอง

ผมถามถึงที่มาของการก่อตั้งโรงเรียนและแนวคิดการทำโรงเรียนนานาชาติ ดร.เย็นยศ เล่าว่า ผู้บริหารโรงเรียนได้คิดโปรเจคท์นี้ตั้งแต่ก่อนน้ำท่วมปี พ.ศ.2554 เพราะเห็นว่าฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยังไม่มีโรงเรียนนานาชาติเลย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ จึงพักแผนไว้ก่อน แล้วกลับไปเน้นหลักสูตรนานาชาติในชั้นอนุบาลที่สาขาพระราม 5

ปี พ.ศ. 2558-2559 เริ่มกลับมาทำโปรเจคท์ DBS ใหม่ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะปี พ.ศ. 2553 ที่เคยวางแผนไว้ ตอนนั้นโรงเรียนมีพื้นที่ 20 ไร่ แต่ภายหลังได้พื้นที่เพิ่มขึ้นมา ตอนนี้มี 45 ไร่ ปัจจุบันแบ่งเป็นพื้นที่โรงเรียน 25 ไร่ พื้นที่สนามกีฬา 20 ไร่ สามารถทำโรงเรียนมาตรฐานระดับโลกได้

This image is not belong to us

DBS ใช้หลักสูตรการศึกษาพื้นฐานภาคบังคับของประเทศอังกฤษและซื้อหลักสูตรของเคมบริดจ์มาเพิ่มเติม ครั้งแรกที่ทำโปรเจคท์นี้ ผู้บริหารคุยกันว่าจะนำแบรนด์จากอังกฤษมาดีหรือไม่ แต่สรุปว่าน่าจะได้ประโยชน์ไม่เต็มที่ ไม่เท่ากับการทำเองเพราะทางโรงเรียนเด่นหล้ามีชื่อเสียงและประสบการณ์ด้านการศึกษามา 40 กว่าปี ระหว่างไปทัวร์ดูโรงเรียนในประเทศอังกฤษก็จะพบกับกลุ่มที่ปรึกษาการศึกษา และมีอยู่ท่านหนึ่งเคยเป็นครูใหญ่ที่อังกฤษและดูไบ เขาเคยทำอยู่บริษัทที่ทำโรงเรียนนานาชาติทั่วโลกเพิ่งออกจากงาน จึงชวนเขามาเป็นที่ปรึกษาและก่อตั้งโรงเรียน

ปัจจุบัน DBS เปิดรับตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลตั้งแต่ 3 ขวบ ไปจนถึง Year 6 เทียบเท่ากับ ป.5 ปีนี้เพิ่งเปิด Year 10 เทียบเท่า ม.3  

ดร.เต็มยศ ได้เล่าแนวทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติเด่นหล้า DBS ไว้ 4 ข้อคือ

  1. DBS ใช้หลักสูตรอังกฤษแบบโรงเรียนเอกชนอังกฤษ เพราะโรงเรียนเอกชนจะค่อนข้าง well-rounded หรือรอบรู้ในทักษะต่างๆ เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ การละคร วิชาการ เคล็ดลับโรงเรียนอังกฤษที่ดีจะเป็น Boarding School (โรงเรียนประจำ) แล้วเด็กแต่ละคนก็เรียนดีและทำกิจกรรมดี ที่นั่นเริ่มเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงสามทุ่ม เคล็ดลับคือ มีเวลาให้กับเด็กมากพอทั้งด้านการเรียนและกิจกรรม เพราะฉะนั้นที่ DBS จึงเพิ่ม Extended Day เข้าไป ตั้งแต่ Year 3 โดยเรียนตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

ปกติโรงเรียนอื่นอาจจะเลิกบ่าย 2 แต่ที่นี่ อนุบาล 1 เลิกเรียนบ่าย 3 อนุบาล 2 เลิกเรียนบ่าย 3 ครึ่ง Year 1-2 เลิกเรียนบ่าย 3 ครึ่งแต่อยู่ต่อได้ถึงสี่โมงเย็น แต่พอ Year 3 ขึ้นไปเรียนถึง 5 โมงเย็น (โดยหลังเรียน เด็กจะเลือกทำกิจกรรมกีฬา ดนตรี ศิลปะ การแสดง กลุ่มความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เข้าชมรมต่าง ๆ ทำได้ทุกอย่าง รวมอยู่ในค่าเทอมแล้ว)


 


This image is not belong to us


 

  1. DBS มุ่งเน้นให้เป็นโรงเรียนนานาชาติที่เก่งวิชาการ เท่าที่เห็นในการศึกษาทั่วไปคือ ผู้ปกครองอยากให้ลูกเก่งวิชาการต้องเข้าโรงเรียนรัฐบาล กับผู้ปกครองอีกกลุ่มที่อยากให้ลูกได้ภาษาติดตัว ทำกิจกรรม มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิดกล้าแสดงออกก็พามาโรงเรียนนานาชาติ

DBS DBS DBS 2 4 YCT Youth Chinese Test7 1 4 DBS 60

  1. DBS อยากให้เด็กมีทักษะที่เป็นผู้ประกอบการ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กที่จบแล้วต้องไปเป็นนักธุรกิจ แต่คิดว่าอยากเติมทักษะของผู้ประกอบการที่เด็กควรจะมี เช่น เรื่องความคิดสร้างสรรค์ การกล้าตัดสินใจ การค้นหาตัวเองให้เจอว่าชอบอะไร เพราะฉะนั้นเด็กควรจะได้ใช้เวลาลองทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อค้นหาตัวเอง
  1. แม้เป็นนักเรียนนานาชาติ แต่ภาษาไทยต้องดี เข้าใจคุณค่าและวัฒนธรรมไทย ปัญหาที่พบเห็นคือ เด็กไทยบางส่วนที่เรียนโรงเรียนนานาชาติจบแล้วไม่ค่อยอยากจะอยู่เมืองไทย เพราะบางครั้งไม่มีความสุข ไม่เข้าใจภาษาและวัฒนธรรมไทยดีพอ

 


ถ้าทำให้ภาษาไทยของเด็กดี เข้าใจคุณค่าของวัฒนธรรมไทย โอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จในเมืองไทยจะมีมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น เพราะจริง ๆ แล้วคนไทยมีจุดเด่นหลายอย่าง เช่น เรื่องน้ำใจเป็นรากฐานที่ทำให้คนไทยทำด้านธุรกิจบริการได้ดี ความเคารพที่มีให้กับผู้ใหญ่หรือคนที่มีความรู้ ความอ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่โอ้อวด ถือเป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นของคนไทย รวมไปถึงเรื่องการฝึกสติ พยายามใส่เรื่องนี้เข้าไปให้ฝรั่งเข้าใจด้วยว่าเป็นเรื่องของ mindfulness เพราะสติเป็นพื้นฐานของ EQ บริหารจัดการอารมณ์ได้ ควรฝึกตั้งแต่ยังเล็กยิ่งดี


 


This image is not belong to us


 


ผมถามเรื่องบุคลากร ว่ามีครูชาติไหนกันบ้าง ดร.เต็มยศ บอกว่า 95% ของครู 60 คนเป็นครูชาวอังกฤษ นอกนั้นเป็นชาวแคนาดาและอเมริกัน โรงเรียนได้ตั้งเกณฑ์ในการรับครูค่อนข้างเข้มงวดว่าไม่รับครูที่เพิ่งจบใหม่ ขอให้มีประสบการณ์สอนอย่างน้อย 2 ปี


 


ระดับชั้นเด็กเล็กระดับอนุบาลจะมีเด็กในห้อง 12 คน ครู 3 คน โดยเป็น Teacher ครูฝรั่ง 1 คน Learning Assistant ชาวฟิลิปปินส์ 1 คน คนไทย 1 คน เพื่อการดูแลอย่างทั่วถึง พอขยับขึ้นมา Year 1 (เทียบเท่าอนุบาล 3) จะมี Teacher ครูฝรั่ง 1 คน Learning Assistant 1 คน และตั้งแต่ Year 5 ขึ้นไป จะเป็น Teacher สอนคนเดียว โดยระดับประถมจะมีจำนวนเด็ก 22 คนต่อห้อง และช่วงโควิดที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการจำกัดจำนวนเด็กที่เข้าเรียน สำหรับ DBS ไม่มีปัญหาเพราะเด็กต่อห้องจำนวนไม่เยอะอยู่แล้ว และขนาดของห้องเรียนใหญ่เกินมาตรฐานห้องเรียนทั่วไป (มาตรฐานของกระทรวงศึกษาธิการ 48 ตร.ม. ที่ DBS 74 ตร.ม.)


 


ส่วนหลักสูตรระดับมัธยมของอังกฤษ Year 10-11 (เทียบกับ ม.4) เป็นหลักสูตร IGCSE จะเลือกรายวิชาว่าเรียนวิชาอะไรบ้าง จะมี 9 วิชา มีวิชาบังคับ เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาไทย  ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ สังคม และจะมีอีก 3-4 วิชา เด็กจะเลือกเอง เช่น ดีไซน์ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ พอ 2 ปีสุดท้าย ระบบอังกฤษจะเรียกว่า A-Level จะมีวิชาบังคับ 3 วิชา ที่เหลือเลือกเอง แต่ที่ DBS จะให้เรียนวิชาบังคับ 4 วิชาและทำโปรเจค 1 โปรเจคท์


 


ดร.เต็มยศ บอกว่า การเลือกเรียนระบบอังกฤษดีตรงที่ว่า เมื่อถึงระดับ ม.5 และ ม.6 เด็กไม่จำเป็นต้องเรียนวิชาที่ไม่ชอบแล้ว เพราะเขาได้ผ่านการเรียนวิชาต่าง ๆ มาครบแล้ว เด็กจะรู้เองว่าตรงไหนเขาชอบและทำได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องดูเกรดการเรียนประกอบไปด้วย ถ้าเทียบกับประเทศอเมริกา A-Level จะทำกับระดับปี 1 ในมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นจะสามารถโอนหน่วยกิตไปได้


 


ด้วยความที่ผมชอบให้ลูกทำกิจกรรม จึงอยากทราบว่า DBS มีอะไรให้เด็กได้ทำบ้าง ดร.เต็มยศ บอกว่าที่ DBS ให้เวลากับกิจกรรมมากเป็นพิเศษ วันละ 2 ชั่วโมงครึ่ง อาทิ กีฬาประมาณ 7 คาบต่อสัปดาห์ กีฬามีความหลากหลาย เรียนกีฬา 2 อย่างใน 3 เทอม (1 ปีการศึกษา) ที่บังคับแน่ ๆ คือ ว่ายน้ำ (ผมเข้าไปดูสระว่ายน้ำยาว 25 เมตร ปรับอุณหภูมิได้ ด้านในเป็น positive pressure นั่นคือค่าฝุ่น PM 2.5 ไม่สามารถเข้ามาได้) นอกนั้นก็จะเป็นรักบี้ คริกเก็ต ฟุตบอล บาสเกตบอล และยังมีชั่วโมงที่เรียกว่า games ซึ่งต่างกับพลศึกษาหรือ PE ที่เน้นทักษะ กายบริหาร แต่ games เน้นการผ่อนคลาย ทีมเวิร์ก แข่งขันเป็นบ้านมีอยู่ 4 สี


 


นอกจากนี้ก็มีศิลปะและดนตรีให้เลือกเล่นได้ มีวิชาการแสดงที่มีเวทีให้ขึ้นไปแสดงละคร มีชมรมช่วงพักเบรกกลางวันและหลังเลิกเรียนเกือบ 20 คลับ โดยมีครูฝรั่งเป็นคนดูแล เช่น แดนซ์ หมากรุก อ่านหนังสือ ภาษาและวัฒนธรรม และมีสายวิชาการด้วย


 


ผมได้เดินทัวร์รอบโรงเรียน บอกได้เลยว่า DBS ลงทุนจริงจังมากครับ สนามฟุตบอลมาตรฐานและปูหญ้าเทียมทั้งสนาม สนามบาสเกตบอลทั้งในและนอกอาคาร สนามฟุตซอล สนามเทนนิส ที่ซ้อมมินิกอล์ฟ ใครอยากให้ลูกได้ออกกำลังกาย รับรองไม่ผิดหวัง ยังไม่พอ ตอนนี้กำลังจะก่อสร้างตึกเรียนเพิ่มอีกตึกและหอประชุม 670 ที่นั่งเพิ่มอีกหลัง


 


เมื่อเห็นแนวทางการศึกษาและการทุ่มทุนสร้างโรงเรียนขนาดนี้ ผู้ปกครองน่าจะมั่นใจและเห็นความตั้งใจจริงของผู้บริหารโรงเรียนได้อย่างดี ใครสนใจติดต่อเข้ามาเยี่ยมชมโรงเรียน ติดต่อที่เบอร์ 0-2666-1933 ครับ.


 


…………………………………


คอลัมน์ : ก้อนเมฆเล่าเรื่อง


โดย “น้าเมฆ”


https://facebook.com/cloudbookfanpage